วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คู่หู Clamwin - Winpooch

ต้องยอมรับว่าช่วงนี้ไม่ค่อยว่างเขียนบล็อก เลยต้องหาอะไรมาขัดตาทัพไว้ก่อนไม่ให้บล็อกดูรกร้างน่าเกลียดจนเกินไป นึกขึ้นได้ว่าเคยไปอ่านเจอในเว็บ "เสียงบ่นจากครูมนตรี" ที่แนะนำโปรแกรมกำจัดไวรัส Clamwin เอาไว้ และยังแนะนำคู่หูของ Clamwin ไว้ด้วย นั่นคือ Winpooch ซึ่งเป็นโปรแกรม Opensource เช่นเดียวกัน

เว็บของ Winpooch : http://www.winpooch.com/

คู่หูของ Clamwin ตัวนี้มีรูปลักษณ์เป็นหมาครับ มีหน้าที่เป็นหมาเฝ้าบ้าน (watchdog) โดยมันจะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของโปรแกรมต่างๆ ที่กำลังทำงานอยู่ ถ้าหากพบว่ามีอะไรพิรุธน่าสงสัย จะมีเสียงเห่า"โฮ่งๆ !"เตือนให้เรารู้ตัว และป้องกันการโจมตีของโปรแกรมไม่ประสงค์ดีพวกนั้นได้ จุดมุ่งหมายของโปรแกรมนี้คือเป็น anti spyware และ anti trojan ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโปรแกรมที่มีพฤติกรรมคล้ายๆสายลับ ส่วนโทรจันก็คือม้าไม้เมืองทรอย ที่ซ่อนทหารกรีกเข้าไปยึดเมืองทรอยนั่นเอง ดังนั้น Winpooch จึงป้องกันโปรแกรมจำพวกนี้ ที่มักจะลักลอบเข้ามาโจมตีแบบไม่ให้เรารู้ตัว Winpooch ก็เหมือนกับเป็นสายลับซ้อนสายลับอีกทีหนึ่ง คอยติดตามสืบดูพฤติกรรมของโปรแกรมอื่นๆเพื่อความปกติสุขของมหาชน ซึ่งผู้พัฒนาโปรแกรมก็ทำให้ Winpooch สามารถทำงานร่วมกับ Clamwin ได้เป็นอย่างดี โดย Winpooch จะคอยจับตาดูความผิดปกติของโปรแกรมต่างๆ ถ้ามันเจอไวรัสก็จะส่งไวรัสนั้นให้ Clamwin จัดการ จึงช่วยลดข้อด้อยของ Clamwin ที่ไม่สามารถตรวจจับไวรัสแบบอัตโนมัติได้ ถ้าใครกำลังใช้ Clamwin อยู่ก็ลองเอาหมาเฝ้าบ้าน Winpooch ไปไว้เป็นเพื่อนอีกตัวสิครับ ที่สำคัญคือใช้ฟรีไม่เสียเงินแต่อย่างใด

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

การรุกรานของการตลาด - โฆษณาทางมือถือ

รู้สึกว่าจะห่างเหินจากการเขียนบล็อกไปนาน คงเพราะกำลังยุ่งๆอยู่กับสารพัดงาน บวกกับความขี้เกียจส่วนบุคคล ที่ห้ามบล็อกเกอร์ทั้งหลายลอกเลียนแบบ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจว่ามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมายที่ปล่อยให้บล็อกรกร้างว่างเปล่า เอาเถอะนะถึงจะร้างคนเข้ามาดู แต่ก็ขออย่าให้เจ้าของบล็อกร้างราหายไปอีกคนเลย ไม่งั้นจะกลายเป็นบล็อกร้างอย่างถาวร

อ่านหัวข้อแล้ว คงรู้ว่าตั้งใจจะเขียนถึงอะไร โดยเฉพาะคนที่มีโทรศัพท์มือถือน่าจะคุ้นเคยกันดี เมื่ออยู่ๆมีข้อความลึกลับส่งเข้ามือถือ เชิญชวนให้ไปใช้บริการจำพวกโหลดเพลง คลิปวิดีโอ ดูดวง ให้หวยแม่นๆ ผลฟุตบอล ข่าวด่วนร้อนๆ ผมก็สงสัยมาตลอดว่าเขารู้เบอร์มือถือเราได้ยังไงกัน ถึงส่งมาได้เรื่อยและยังมีหลายโฆษณาหลายรูปแบบให้เลือกสรร หรือจะเป็นเครือข่ายมือถือนั่นแหละ (เช่น AIS DTAC Orange) ที่เอาเบอร์ไปขายให้ธุรกิจจำพวกนี้ (หรืออาจแลกกับผลประโยชน์บางอย่าง) ซึ่งก็ยังไม่รู้แน่ชัด ใครรู้ช่วยออกมาเปิดโปงขบวนการนี้กันหน่อย ถ้าหากจริง มันก็ไม่ยุติธรรมกับผู้ใช้เลย ที่ต้องมารำคาญกับโฆษณาไร้สาระ และอาจจะ "เสียค่าโง่" ให้ธุรกิจพวกนี้ได้ ที่เจอบ่อย จะมีข้อความยั่วยวนกิเลศตัณหาด้วยคำว่า"ฟรี" นำมาก่อน ใช้ฟรี 7 วันบ้าง 1 เดือนบ้าง แต่ไม่ได้บอกเงื่อนไขรายละเอียด แต่บอกให้โทรไปฟังได้ที่เบอร์ xxxxx ถ้าเกิดสนใจโทรไปฟัง อาจจะเสียเงินค่าโทร "ฟรี" ได้ง่ายๆ (แต่บางอย่างก็โทรฟังฟรี ดังนั้นต้องดูรายละเอียดให้ดีก่อน) ก็อยากจะเตือนเอาไว้ ธุรกิจพวกนี้ผมว่าถ้าไม่สนใจอยากได้สินค้าบริการเขาจริงๆ อย่าไปยุ่งด้วยเลยดีกว่า บางทีลองใช้ฟรี ปรากฏว่าเราเองที่ลืมว่าหมดช่วงฟรีไปแล้ว มารู้ตัวอีกที ยอดเงินมือถือก็โดนตัดไปเรียบร้อย หรือบางคนจำได้ว่าจะหมดช่วงฟรีแล้ว แต่ไม่สันทัดถนัดเรื่องเทคโนโลยี ดันหาวิธีบอกยกเลิกไม่ทันการณ์ ก็ได้เสียเงินกันอีก

การตลาดทุกวันนี้มีความดุเดือดกันมากขึ้นกว่าสมัยก่อน บางทีก็อาจจะมองข้ามคุณธรรมจริยธรรมไปบ้าง ส่วนการโฆษณาทาง SMS เข้ามือถือนี่ ถึงจะไม่ผิดกฏหมาย ไม่ผิดศีลธรรม แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นการรุกรานพื้นที่ส่วนบุคคล ว่ากันเข้าไปนั่น จริงๆเขาก็ไม่ได้มารุกรานอะไรจริงๆจังๆหรอก แต่มันเป็นความรู้สึกน่ะ เหมือนถูกรุกรานความเป็นส่วนตัว อย่างโฆษณาแบบอื่นเรายังเลือกดูเลือกชมได้ แต่นี่มันส่งตรงเข้ามือถือเลยแม้แต่เวลาอยู่บ้านหรือนอนหลับ แต่ก็ทำอะไรกับโฆษณาพวกนี้ไม่ได้ นอกจากลบทิ้งไป แต่ที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นที่เริ่มมีโทรศัพท์มือถือใช้กันแล้ว หันมาใช้บริการพวกนี้กันมากขึ้น พวกที่ชอบใช้แบบฟุ่มเฟือยเกินตัว ทั้งโหลดคลิปโป๊ คลิปคนหน้าเหมือน หรือโหลดเพลงกันเป็นว่าเล่น คือถ้าใช้แบบพอดีๆ ใช้เท่าที่จำเป็น ก็ไม่เสียหายหรอกนะ ขออย่าไปใช้บริการอะไรๆ ที่มันไร้สาระงี่เง่า อย่างรับข้อความขำขัน เรื่องตลก ซุบซิบดารา ซึ่งผมว่าหาได้รอบตัว ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียเงินเลย หรือถ้าคิดจะไปใช้บริการทำนายดวงชะตาชีวิต ก็ฟันธงได้เลย ว่าถ้าถึงขนาดยอมเสียเงิน เชื่อคำทำนายทาง SMS แบบนี้ ชีวิตคงไม่รุ่งเท่าไหร่ และฟันธงอีกทีว่าถ้าเลิกใช้ คุณจะมีเงินทองไหลมาเทมาอีกอย่างน้อยเดือนละ 30 บาท และสุดท้ายคือบริการส่งเลขเด็ด ใบ้หวย ก็ไม่รู้ว่าเค้ามั่วตัวเลขส่งมาให้รึเปล่า และแทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ถ้าเป็นบริการอย่างอื่น ยังต้องคิดข้อความ หรือหาข้อมูลหาข่าวกันบ้าง แต่นี่ใบ้หวย ทำได้ง่ายมาก ส่งมาแต่ตัวเลข ให้คนรับ SMS ไปตีความซื้อหวยกันเอาเอง แล้วหลอกว่าเป็นเลขเด็ดจากเกจิอาจารย์ดัง แทนที่จะเสียเงินแบบนี้ น่าจะเอาเวลาไปขูดจอมปลวกยังจะได้ประโยชน์กว่านะ ได้บริหารแขนและสายตาไปในตัว ^^

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทันโลกทันคน กับวิทยุต แสงโสภิต

....

จากเพลง "ป่าลั่น"

แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่
พวกเราแจ่มใสเหมือนนกที่ออกจากรัง
ต่างคนรักป่าป่าคือความหวัง
เลี้ยงชีพเรายังฝังวิญญาณนานไป
ตื่นเถิดหนาอายนกกามันบ้าง
แผ่นดินกว้างขวางถางคนละมือละไม้
รอยยิ้มของเมียชะโลมฤทัย
ซับเหงื่อผัวได้ให้เราจงทำดี
เสื้อผ้าขี้ริ้วปลิวเพราะแรงลมเป่า
กลิ่นไอพวกเราเขาคงจะเดินเมินหนี
คราบใดไหนเล่าเท่าคราบโลกีย์
เคล้าอเวจีหามีใครเมินมัน

....


เป็นมนุษย์ เป็นได้เพราะใจสูง
เหมือนดังยูง มีดีที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตนได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
ถ้ามีครบ ควรเรียกมนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูกทุกเวลา
เปรมปรีดา คืนวันสุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัวและร้อนเร่า
ใครมีเข้า ควรเรียกว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิดจิตประวิง
แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอุบาย
คิดดูเถิด ถ้าใครไม่อยากตก
จงรีบยก ใจตนรีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ก่อนตัวตาย
ก็สมหมาย ที่เกิดมาอย่าเชือนเอย ฯ

คำกลอนธรรมะจากท่านพุทธทาสภิกขุ
....

เช้าวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกนึกย้อนไปถึงบรรยากาศเก่าๆ วันเก่าๆ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว สมัยยังเป็นเด็กนักเรียนหัวเกรียน อาจเป็นเพราะวันนั้นผมตื่นเช้ากว่าปกติ ราวๆ 6 โมง บรรยากาศธรรมชาติรอบตัวกำลังสดชื่น ท้องฟ้าสีครามหม่นๆเพราะดวงอาทิตย์ยังสาดแสงไม่เต็มที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เสียงนกร้องกังวานแว่วมาเป็นระยะ กลิ่นอายของน้ำค้างและดินชวนให้นึกถึงวันวานในอดีต

สมัยก่อนที่บ้านผมมักจะเปิดวิทยุตอนเช้า ฟังวิทยุไปทำงานไป ช่วงประมาณ 6 โมงเช้าจะฟังรายการ "ทันโลกทันคน" ดำเนินรายการโดยคุณวิทยุต แสงโสภิต ซึ่งเป็นเวลาที่ผมตื่นพอดีเพื่ออาบน้ำกินข้าวเตรียมตัวไปโรงเรียน (ก่อนหน้านั้น ประมาณตี 5 มีรายการของ ทวน ทักษิณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจว่าผู้จัดรายการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมา 3 ปีแล้ว) ผมจึงได้ฟังเพลง "ป่าลั่น" ซึ่งเป็นเพลงเริ่มรายการทันโลกทันคน ฟังคุณวิทยุตอ่านบทกลอนธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ และเล่าข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าเทียบจากความรู้สึกของผมในสมัยนั้น คิดว่าถ้า "ทันโลกทันคน" ยังคงมีอยู่ คงเป็นคู่แข่งที่สูสีกับรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของคุณสรยุทธแน่ๆ หากแต่ว่า "ทันโลกทันคน" เป็นเพียงรายการวิทยุท้องถิ่นของชาวสุราษฏร์ธานีเท่านั้นเอง ไม่ได้ออกอากาศไปทั่วประเทศ จึงคงยังไม่โด่งดังเท่า "เรื่องเล่าเช้านี้"

น่าเสียดายว่า "ทันโลกทันคน" ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันจนถึงปัจจุบัน (หรืออาจจะมีอยู่ แต่เปลี่ยนผู้จัดรายการ ผมก็ไม่ทราบ) ช่วงหนึ่งคุณวิทยุตได้นำข่าวการทุจริตจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะของเทศบาลเมืองสุราษฏร์ธานีมาออกอากาศ แต่ไม่เพียงเล่าข่าวครั้งเดียวแล้วจบกัน (อย่างหลายข่าวในหลายๆสื่อ ที่ออกตอนเดียวแล้วหายไป ไม่รู้ความคืบหน้า) คุณวิทยุตก็ยังคงพูดถึงในรายการ "ทันโลกทันคน" อยู่เกือบทุกวัน เอาความคืบหน้ามาเล่าสู่กันฟังตลอด ว่ามีการสอบสวนกันถึงไหน เป็นอย่างไรบ้าง รวมทั้งรายละเอียดของเรื่องราวการทุจริตซื้อที่ดินครั้งนี้ ซึ่งเท่าที่จำได้คือเทศบาลจัดซื้อที่ดินในราคาสูงมากกว่าความเป็นจริง และยังเป็นที่ดินที่ถนนเข้าไม่ถึงด้วย

จนวันหนึ่งคุณวิทยุตเล่าใน "ทันโลกทันคน" ว่ามีคนข่มขู่ไม่ให้พูดถึงเรื่องการทุจริตจัดซื้อที่ดินของเทศบาล ซึ่งผมก็จำไม่ค่อยได้ว่าข่มขู่ด้วยวิธีไหน จะเขียนข้อความข่มขู่ วางระเบิดปลอม หรือมีถุงขี้อยู่หน้าบ้าน ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ที่แน่ใจคือ คุณวิทยุตยังคงรายงานข่าวนี้ต่อไป แต่ก็ลดระดับและความถี่ลงมาบ้าง ในท้ายที่สุด คุณวิทยุตก็ถูกดักยิงเสียชีวิตหน้าสำนักงานขณะกำลังเตรียมจัดรายการ "ทันโลกทันคน"

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นและการคุกคามสื่อมีอยู่จริง แม้แต่ในเขตเทศบาลเมืองซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่มีความเจริญที่สุดในจังหวัด แล้วองค์กรอย่าง อบต. ที่อยู่ห่างไกลส่วนกลางล่ะ ปัจจุบันประชาชนคนไทยพร้อมมากน้อยแค่ไหนกับการปกครองส่วนท้องถิ่น? ได้แต่หวังว่าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจะไม่กลับกลายเป็นแก๊งค์ผู้มีอิทธิพลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และจัดการด้วยวิธีป่าเถื่อนกับผู้ที่พยายามเปิดโปงความจริง?

ก็ได้แต่หวังว่าพี่น้องคนไทยจะเลือกคนดีมีวิชาเข้ามาปกครองบ้านเมือง ในทุกๆระดับ ทั้งระดับประเทศและในท้องถิ่น ไม่ใช่เลือกนักเลงผู้มีอิทธิพลเข้ามามีอำนาจ สูบเลือดสูบเนื้อสูบเงินภาษีอากรของคนไทยเพื่อความมั่งคั่งของตนเองและพวกพ้อง

ไม่รู้ว่าความคืบหน้าของคดีการลอบยิงคุณวิทยุตไปถึงไหนแล้ว และจัดการกับคนผิดได้หรือยัง แต่ผมก็ยังเชื่อว่าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่จริง และอำนาจศาลจะไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก่อนกรุงแตก

อันชาติใดไร้รักสมัครสมาน
จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้นชาติย่อยยับอับจน
ประชาชนจะสุขอยู่อย่างไร

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

บทที่ 1 จาก..เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

....
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
....
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
....
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง
สาระพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราช
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
....
กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จนสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ
....

บทที่ 2 ฝันกลางวัน กับความฝันอันลางเลือน

....
ปลายสมัยอาณาจักรอยุธยา
บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย
ศีลธรรมของผู้คนตกต่ำลง
มีการแย่งชิงราชสมบัติกันบ่อยครั้ง
ญาติพี่น้องรบกันเองเพื่อแย่งอำนาจที่ไม่มีวันเพียงพอ และไม่เคยยั่งยืน
....
ขุนนางเก่งในรัชกาลก่อนถูกกำจัดด้วยเกรงว่าจะไม่จงรักภักดี
ขุนนางดีถูกใส่ร้ายป้ายสี และไม่ได้รับการยอมรับนับถือ
ขุนนางชั่วเถลิงอำนาจ สร้างสมความเสื่อมให้แก่บ้านเมือง เพื่อให้บรรลุซึ่งผลประโยชน์ของตน
กษัตริย์ไร้ความสามารถ ขาดทศพิธราชธรรม เชื่อฟังคำของขุนนางกังฉิน
....
อาณาจักรเริ่มขาดความสามัคคี ไร้ซึ่งความมั่นคง
ต่างคนต่างคิดถึงเพียงความสุขส่วนตน ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจ
ผู้นำหลงไหลในกามารมณ์ แต่ละวันคิดเพียงแต่จะสรรหาความสุขสนุกสำราญ
ความสุข... ที่เป็นเพียงภาพมายา บนกองทุกข์ของประชาชนทั้งอาณาจักร
อนิจจา... น้อยคนนักที่จะคิดถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง
....
ข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
แต่ขุนนาง ผู้มีอำนาจวาสนา กษัตริย์และบรรดาญาติพวกพ้องทั้งหลายเสพสุขกันไม่สิ้นสุด
อาณาจักรใกล้เคียงต่างแข็งเมือง ตีตัวออกห่าง เมื่อเล็งเห็นถึงความเสื่อมของอยุธยา
ความเสื่อมของอาณาจักรอยุธยานี้ เย้ายวนชวนให้เข้ายึดครองยิ่งนัก
....
การยึดบ้านยึดเมืองนั้น
ยึดดินแดนยามศัตรูเปลี่ยนผู้นำ..
ยามศัตรูอ่อนแอ..
ยามศัตรูแตกแยก ขาดความสามัคคี ขาดความเป็นปึกแผ่น
ยามศัตรูถึงที่สุดของความเสื่อม
นับเป็นยอดกุศโลบาย
....
แม้ในยามศึกสงครามผู้คนยังคงคิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นใหญ่
เงินทอง อำนาจบารมี ผลประโยชน์ ความสุขสบาย ความปลอดภัย และชีวิตของตน
แม้เสียเกียรติเป็นไส้ศึกให้ หรือขายชาติก็ยอม!
ช่างเป็นบ้านเมืองที่เสื่อมถึงที่สุดแล้วจริงๆ
....
เสียงปืนใหญ่ของพม่ายิงกระหน่ำไม่ขาดสาย
แต่ฝ่ายไทย...เงียบ
เพียงเพราะกษัตริย์กลัวฝูงสนมมเหสีตื่นตกใจเสียงปืนใหญ่ฝ่ายตัวเอง
ผู้คนล้มตายเป็นผักปลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลบฝัง
เสียงปะทะของดาบโล่และศาสตราวุธนานาชนิด มีอยู่ตลอดเวลา
ทุกนาทีมีคนตาย ทหารหาญต้องพลีชีพ คนดีคือผู้เสียสละ
ส่วนคนที่เหลือนั้นรอคอยฉกฉวยโอกาสจากความพินาศของบ้านเมือง และหาช่องทางเอาตัวรอด
ในที่สุด กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก ตกเป็นเมืองขึ้นนาน 15 ปี...
....

บทที่ 3 ตื่นกับฝันต่างกันฉันใด?

ในโลกแห่งความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ช่างคลับคล้ายคลับคลาราวกับประสบการณ์เดจาวู ความฝันนั้นช่างโหดร้าย เป็นยุคที่เสื่อมทรามที่สุดยุคหนึ่งของดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทย แต่นั่นก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานนมมาแล้ว เป็นเพียงหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานของอารยธรรมมนุษย์ แต่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในอดีตกับเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้จะไม่เหมือนกันซักทีเดียว ซึ่งอย่างน้อยก็มีระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนกัน แต่ฉันก็หวั่นกลัวอยู่ลึกๆ กลัวอย่างไม่มีเหตุผล (หรืออาจจะมีเหตุผลที่ซับซ้อนซักอย่างอยู่ภายในจิตใต้สำนึก?) ที่ฉันกลัว คือกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม เพียงแต่แตกต่างในบริบทและรายละเอียดปลีกย่อย หรือกรุงใกล้จะแตกอีกครั้ง เราจะต้องเสียดินแดนอีกหรือ?

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เมื่อ Clamwin สิ้นท่า พ่ายต่อไวรัส Sality

เป็นธรรมดาของโปรแกรมกำจัดไวรัสทุกตัวที่จะต้องมีจุดอ่อน มีช่องโหว่ ตรวจจับและจัดการไวรัสบางตัวไม่ได้ (บางทียังไปกล่าวหาไฟล์ปกติของเราเองว่าเป็นไวรัสอีก 55+) ถึงแม้ผู้พัฒนาโปรแกรมจะพยายามกำจัดจุดอ่อนที่มีอยู่อย่างไร แต่ก็คงไม่มีวันหมด ยังคงต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ทันต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ก็ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ถ้าติดตั้งโปรแกรมกำจัดไวรัสไว้แล้ว ก็ควรหมั่นอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่เสมอๆ ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม แล้วมาโทษมันทีหลังว่าไม่ช่วยกันเลย ทั้งๆที่ต้นเหตุสำคัญน่าจะมาจากตัวผู้ใช้มากกว่า

อย่างที่เคยเขียนถึงโปรแกรม Clamwin Antivirus มาแล้วว่ามันมีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน อย่างหนึ่งที่เห็นชัดคือมันไม่ได้ทำงานแบบ real time คือไม่ได้ตรวจจับไวรัสให้อัตโนมัติ เราต้องสั่งสแกนไวรัสเอง (เป็นความไม่สะดวกสบายของผู้ใช้อย่างผมเองน่ะ 55+ รวมทั้งเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ติดไวรัสไปแล้วถึงค่อยมาจัดการทีหลัง ไม่ได้ป้องกันไว้เลย ดังนั้นผมว่าแคลมวินคงมีบทบาทเป็นเพียงพระรอง เป็นตัวช่วยเสริม และมีไว้ใช้ใน USB แฟลชไดร์ฟ กรณีที่ต้องไปทำงานกับคอมพิวเตอร์แปลกหน้าที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดถึงวันนี้ จากที่ผมลองใช้เจ้า Clamwin antivirus นี้ดู ก็ค่อนข้างพอใจกับมันที่สามารถกำจัดไวรัสใน USB flash drive ได้ดี โดยเฉพาะ Brontok A ที่แพร่ระบาดมากผ่านทาง USB แฟลชไดร์ฟ ซึ่งผมโดนบ่อย พึงระลึกไว้ว่า แต่ละที่ แต่ละคน มีโอกาสเจอไวรัสได้ไม่เหมือนกัน ดังนั้น Clamwin อาจจะใช้ได้ผลในที่หนึ่ง แต่ในอีกที่อาจได้ผลไม่ดีก็เป็นได้ ถ้าดันไปเจอไวรัสตัวที่มันกำจัดไม่ได้ ซึ่งในที่สุด Clamwin ของผมก็ได้เจอกับคู่ปรับตัวฉกาจ ที่ Clamwin ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ตรวจหาไวรัสก็ไม่เจอ หนำซ้ำ Clamwin ยังโดนมันโจมตีเองเสียอีก (ยังกะเชื้อ HIV โจมตีระบบภูมิคุ้มกันคน)

ผมมาทราบทีหลังว่าไวรัสที่เจอนี้มีชื่อว่า Sality (เป็นไวรัสที่แพร่กระจายทางแฟลชไดรฟได้) โดยวิธีการง่ายๆถ้าอยากรู้ว่าไฟล์ต้องสงสัยนั้นติดไวรัสอะไร หรือเป็นไวรัสอะไร ทำได้โดยเข้าเว็บไซต์นี้ครับ
http://www.virustotal.com/ และทำการส่งไฟล์ต้องสงสัยนั้นเข้าไป เว็บไซต์นี้จะใช้โปรแกรม Antivirus ทุกชนิดเท่าที่จะหาได้มาตรวจไฟล์นี้ให้ครับ (แต่ไม่ได้ช่วยกำจัดไวรัสให้) และจะแสดงผลให้ดูว่ามีโปรแกรมไหนบ้างที่บอกว่าไฟล์นี้เป็นไวรัสอะไร และบางโปรแกรมก็อาจจะบอกว่าไฟล์นั้นไม่ใช่ไวรัส เราก็จะดูผลโดยรวม ประเมินว่ามันน่าจะเป็นไวรัสรึเปล่า น่าจะเป็นซักกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อดีอีกอย่างคือเราจะได้รู้ว่ามีโปรแกรมไหนบ้างที่สามารถจัดการเจ้าไวรัสที่เราเจออยู่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจากการทดสอบของผม โปรแกรม Clam AV (ซึ่งมีฐานข้อมูลไวรัสเหมือนกับ Clamwin) ตรวจไม่เจอไวรัส Sality

สำหรับอาการของแฟลชไดร์ฟหลังจากที่ติดไวรัส Sality นั้น ผมเจอไฟล์ชื่อแปลกๆหลายไฟล์ (อ่านชื่อไม่ออกด้วย) เมื่อลบมันทิ้ง ก็มีไฟล์ใหม่เกิดขึ้นมา แล้วชื่อมันเปลี่ยนไปด้วยอ่ะ และก็มีไฟล์ชื่อ Autorun.inf ประมาณว่ามันจะเป็นตัวสร้างไฟล์ชื่อแปลกๆพวกนั้นโดยการสุ่มตัวอักษรมาตั้งเป็นชื่อไฟล์มั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วในแฟลชไดร์ฟผมจะมีโปรแกรม CPE17 Autorun killer ใช้กำจัดพวกไวรัส Autorun (ที่โปรแกรมป้องกันไวรัสส่วนใหญ่มักมองข้าม จัดการไม่ได้) แต่ก่อนก็ใช้ได้ผลอยู่นะ กำจัดไวรัสที่ตั้งไฟล์ชื่อ Autorun.inf ได้ดี แต่มาคราวนี้มันกลับใช้ไม่ได้ผล แล้วเวลาสั่งมันสแกนเพื่อกำจัดไวรัส autorun โปรแกรมยังค้างอีก เหอๆ นอกจากนี้ยังเปิดโปรแกรม Clamwin ขึ้นมาไม่ได้ด้วย ดูเหมือนว่ามันจะมีผลต่อไฟล์นามสกุล .exe (โปรแกรมทั้งหลายรวมทั้งโปรแกรมกำจัดไวรัสด้วย) โดยไวรัสจะไปฝังตัวอยู่ที่ไฟล์ .exe เหล่านี้ ซึ่งผมสังเกตเห็นว่าไฟล์ .exe ที่ใช้เปิดโปรแกรม Clamwin มีขนาดใหญ่กว่าเดิม (จาก 114 kb เป็น 188 kb) นี่ตอนที่ผมไปดับเบิ้ลคลิกมันก็อาจจะทำให้ไวรัสมันทำงานต่อก็เป็นได้

นั่นคือประสบการณ์ที่ผมเจอมากับเจ้าไวรัส sality ครับ ร้ายกาจจริงๆ ถ้าลองค้นหาด้วยกูเกิ้ลก็จะมีคนบอกเล่าเรื่องราวการเจอเจ้าไวรัสตัวนี้มากมาย รวมทั้งวิธีการกำจัดมันด้วย ผมก็เจอข้อมูลไวรัสตัวนี้ ซึ่งคนเขียน เขียนไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว อ่านเพิ่มเติมกันดูนะครับ
ที่นี่
http://www.webphand.com/sality/

วิธีการกำจัดไวรัส Sality
- ลองอัพเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสในคอมพิวเตอร์ของคุณดูก่อน (ถ้าไม่ได้อัพเดตมานาน) และเท่าที่ผมทราบโปรแกรมป้องกันไวรัสที่สามารถจัดการไวรัส Sality ได้ ได้แก่ Kaspersky, McAfee, Symantec, Doctor Web, Sophos, Trend Micro, FRISK, ALWIL, Grisoft, Softwin, Panda, และ Eset (NOD32) สำหรับลิงค์เข้าเว็บไซต์ของโปรแกรมเหล่านี้ เข้าไปดูได้ที่นี่
http://gotoknow.org/blog/ekkawits/197696
- Win32/Sality remover 1.1.0.153 ดาวน์โหลดมาใช้ได้ฟรี (พัฒนาโดย Grisoft)
http://www.softpedia.com/get/Antivirus/Win32-Sality-Remover.shtml
- วิธีการที่ยากขึ้นมาหน่อย เหมาะสำหรับคนที่เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์
http://www.spywareremove.com/removeSality.html

ถ้ามีข้อสงสัยหรือมีอะไรผิดพลาดช่วยท้วงติงด้วยนะ ขอบคุณมากครับ

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แด่..เหยื่อเดือนตุลา 51

ประวัติศาสตร์ไม่เคยสอนคนไทยเลยหรือว่าการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน มีแต่ความพินาศของทุกฝ่ายและไม่เคยแก้ปัญหาใดๆ

สุดท้าย เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็คือประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่ห้ำหั่นกันเองอย่างดุเดือด อย่างขาดสติ

โดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้มีอุดมการณ์รักชาติ ที่อยากเห็นเมืองไทยพัฒนาก้าวหน้า กลับต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยในเหตุการณ์ที่มีต้นเหตุมาจาก ความต้องการอำนาจบารมีและผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางกลุ่ม

ส่วนตัวต้นเหตุ ผู้บงการ ผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ปลุกปั่น ตัวหัวหน้า มือที่มองไม่เห็น มือที่สามหรือจะเรียกยังไงก็แล้วแต่ก็ยังปลอดภัยดี

สถานการณ์ ณ เวลานี้ ยังคลุมเครือ มีประชาชนเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งสองฝ่าย

ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครผิดใครถูกอย่างชัดเจน ตำรวจใช้ความรุนแรงมากเกินกว่าเหตุก่อน? อาวุธสงคราม ปืน ระเบิด (ทั้งลูกเกลี้ยง ระเบิดปิงปอง ระเบิดขวด) มาจากไหน เพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันมากกว่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียว? ตำรวจนำมาใช้? พันธมิตรบางคนแอบพกมา? มาจากมือที่สาม อย่างพวกนักเลง จ้างวานมาสร้างความรุนแรงปั่นป่วน หรือนปก.? ในฐานะผู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ทำได้เพียงสันนิษฐานจากการติดตามสื่อต่างๆว่า จากความรุนแรงโหดร้ายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยั่วยุให้พันธมิตรใช้กำลังตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยละทิ้งสันติอหิงสา(เวอร์ชั่นพันธมิตร)ไปเสียสิ้น ทั้งใช้ไม้ไล่ทุบตี แทง และยิงใส่ตำรวจ รวมทั้งมีภาพเด่นประจำหนังสือพิมพ์ที่มีพันธมิตรขับรถชนแถวตำรวจจนกระเจิง และถอยรถกลับมาทับซ้ำ! ทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่าคงเป็นพันธมิตรแค่บางส่วนที่ทำเช่นนั้น แต่ส่วนใหญ่ (ซึ่งเป็นประชาชนธรรมดาที่รักชาติอย่างบริสุทธิ์ใจ) น่าจะเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่า ทั้งแสบหน้าแสบตาจากแก๊สน้ำตาและหนีการสลายการชุมนุมของตำรวจ

แต่ที่แน่นอนนั้นคือชีวิตคนไทยที่สูญเสียไปโดยไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ และน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป รวมทั้งคนไทยอีกมากมายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส บางคนถึงกับเสียอวัยวะสำคัญ

ชีวิตคนไทยที่สูญเสียไปมีคุณค่ามากเกินกว่าเงินช่วยเหลือไม่กี่บาท หรือคำยกย่องว่าเป็นวีรชนนัก !

ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้คนในเหตุการณ์นี้ ทั้งประชาชนฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายตำรวจ

ขอให้เหตุการณ์คลี่คลายในเร็ววัน และขออย่าได้มีผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเลย

ขอแสดงความยกย่องนับถือจากใจต่อผู้มีอุดมการณ์รักชาติไทย หวังดีต่อชาติและทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง ส่วนผู้รักชาติเพียงแค่ลมปาก (โดยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง) ผู้บงการอยู่เบื้องหลังที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ คงรู้อยู่แก่ใจ ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย รวมทั้งทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ มีการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กรรมของเหี้ย

วันนี้ขอสวมบทบาทเป็นนักปกป้องสิทธิเหี้ยกันหน่อยหลังจากเห็นเหี้ยถูกทารุณกรรมมานานโดยเฉพาะแถวๆทำเนียบรัฐบาล สมัยนี้คนจะด่ากันทำไมต้องด่าว่าเหี้ย คงเป็นเพราะว่าชาวบ้านเห็นเหี้ยมีนิสัยเป็นนักฉกฉวยโอกาส ชอบขโมยกินสัตว์เลี้ยงชาวบ้าน (บางทีก็เรียกมันว่าตัวกินไก่) กินได้ทุกอย่าง ไม่เลือกว่าจะสดๆหรือเน่าไปแล้ว บางทีก็ไปขโมยไข่ของสัตว์อื่นกิน เปรียบได้กับคนบางคนที่มีนิสัยดังที่ว่ามานี้ เลยด่าคนผู้นั้นว่า "เหี้ย" ซึ่งเหี้ยก็อยู่ของมัน เป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีนิสัยแบบนั้นของมัน ต้องลักกินขโมยกินเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้มารับรู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนมนุษย์ แต่คนเราก็เอาชื่อมันมาใช้เป็นคำไม่สุภาพ มองว่าเหี้ยเป็นตัวอัปมงคลไป แล้ววันดีคืนดีเหี้ยเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศร่วมรัก ออกมาโชว์กลางแจ้งให้คนได้อิจฉากันบ้าง ก็บังเอิญตรงกับช่วงจัดตั้งรัฐบาล เลยกลายเป็นลางร้ายไปซะนี่ การรวมตัวของพรรคการเมืองหรือคนบางกลุ่มในช่วงเวลานั้นเลยอุปมาเหมือนเหี้ยผสมพันธุ์กัน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็เป็นสิทธิของเหี้ยที่จะผสมพันธุ์กันไม่ได้เดือดร้อนอะไรใคร ที่น่าเป็นห่วงกว่าก็ควรไปห่วงพวกเด็กนักเรียนนักศึกษาที่สมัยนี้มีแนวโน้มว่าจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือไม่ก็พระมั่วกับสีกา อันนั้นเป็นปัญหาที่น่าห่วงกว่าเยอะ การเห็นเหี้ยผสมพันธุ์กันน่าจะดีใจมากกว่า ว่ามันกำลังเพิ่มลูกหลานประชากรเหี้ยให้เมืองไทยของเรา เชื่อมั้ยว่าเหี้ยนี่ก็เป็นตัวชี้วัดสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างหนึ่งนะ ที่ใดมีเหี้ยอยู่อาศัยแสดงว่าที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นเราควรอนุรักษ์เหี้ยเอาไว้ให้ลูกหลานได้เชยชมมันต่อไป อย่าให้เหลือแต่เพียงรูปถ่าย เดี๋ยวนี้เหี้ยก็หาดูได้ยากขึ้นทุกที อยากเห็นก็ไปดูได้ตามสวนสัตว์เช่นเขาดิน หรือที่มหาวิทยาลัยศิลปากรก็มีเยอะ เพราะที่นั่นเป็นธรรมชาติมาก มีน้ำมีปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ มากถึงขนาดมันมาเดินเล่น นอนเล่นบนถนนก็มี จนโดนรถทับไส้แตก ซึ่งการรังเกียจเหี้ยหรือเอาชื่อเหี้ยมาใช้ในทางที่ไม่ดีก็ยังไม่เท่าไรเพราะเหี้ยมันคงไม่สนใจหรอกว่าคนจะมองมันยังไง แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับชะตากรรมเหี้ยผู้น่าสงสารคือ โดนมนุษย์ทารุณกรรม ไล่ยิงหนังสติ๊ก ถูกจับแขวนคอ เอามามัดทรมานเล่น โดนจับกิน (เค้าว่ากันว่าเนื้อเหี้ยอร่อยยิ่งนัก) และที่สำคัญคือมนุษย์ทำลายธรรมชาติ ตัดไม้ทำลายป่า ทิ้งของเสียลงแหล่งน้ำ จนที่อยู่อาศัยของเหี้ยลดน้อยลงทุกที จนในอนาคตอาจเกือบสูญพันธุ์ กลายเป็นสัตว์สงวนไปก็ได้ ใครจะไปรู้ ซักวันหนึ่งขาดเหี้ยไปแล้วเธอจะรู้สึก คนแถวทำเนียบนี่ก็ไม่ค่อยจะแบ่งแยกได้นะว่าตัวไหนคือศัตรูของประชาชนที่แท้จริง คำว่าเหี้ยเป็นแค่คำเปรียบเทียบ ไม่ควรจะไปตีตราว่ามันเลวเหมือนคนที่ถูกด่าว่าเหี้ย อย่าไปอินกับคำปราศรัยบนเวทีให้มากนัก เอาเวลาไปไล่คนที่ควรไล่ก็เหมาะสมดีแล้ว แต่อย่ามาทรมานเหี้ย ไล่ยิงเหี้ยเพื่อความสะใจ ให้มันกลายเป็นเหี้ยรับบาป อย่าให้เหี้ยเป็นที่รองรับอารมณ์คนเลยนะ สงสารมัน ปล่อยให้มันอยู่อาศัยในธรรมชาติอย่างสงบเถอะ ที่จริงแล้วเหี้ยมีอีกหลายชื่อ ไพเราะทั้งนั้น บางทีก็เรียกตัวเงินตัวทอง ชื่อฟังเป็นมงคลดี น่าจะเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงประดับร้านค้า แต่คนก็ยังเอามาใช้ด่ากันเหมือนคำว่าเหี้ย บางทีคนก็ด่ากันเองว่าอีดอก เพราะเหี้ยจะมีดอกทองเป็นลวดลายอยู่บนหลังมัน ดูสวยงามน่ารักน่าชัง ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของมันคือ Varanus salvator อันนี้คนชื่อวรนุชอาจจะสะดุ้ง เพราะดันมาพ้องกันพอดี ไม่รู้คนตั้งชื่อนี้ชื่อคุณวรนุชรึเปล่านะ หรือคนตั้งชื่อเกลียดคนชื่อวรนุชก็ไม่ทราบ ส่วนชื่อภาษาอังกฤษมันคือ Water monitor คงเพราะมันชอบว่ายน้ำเล่น ส่วนทางภาคเหนือกับใต้อาจจะเรียกสัตว์จำพวกนี้ว่าแลน แต่อย่างไรตาม "เหี้ย" ก็น่าจะได้รับการโหวตว่าเป็นสัตว์ที่น่าสงสารที่สุดในประเทศไทย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเลวไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร โดยไม่มีโอกาสให้แก้ตัวเลย ทำไมถึงทำกับเหี้ยด้ายยย...

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ

อะไรเอ่ย คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ? คำตอบของแต่ละคนอาจจะหลากหลายกันไปตามประสบการณ์ที่เคยมีมา แต่ที่ผมจะเฉลยคือ "โลงศพ" ไงครับ โลงศพนี่ผู้ซื้อคงไม่ค่อยอยากจะใช้ซักเท่าไรนัก ส่วนผู้ใช้ถ้าลุกมาซื้อโลงศพให้ตัวเองได้ก็แปลกดีเหมือนกัน กรณีคนซื้อกับคนใช้เป็นคนเดียวกัน ที่เป็นไปได้คือซื้อโลงศพเตรียมไว้ให้ตัวเองตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่าเตรียมตัวต้อนรับความตายไว้แล้วเป็นอย่างดี ก็มันเป็นสัจธรรมของชีวิตล่ะนะที่ความตายมาเยือนเราทุกคนได้ทุกเมื่อ จึงควรมีสติอยู่ตลอดเวลา (โดยมีโลงศพเตือนใจอยู่ข้างๆ) ภาษาทางธรรมก็เรียกว่า เจริญมรณสติ ที่เขียนถึงก็ไม่มีอะไรมาก สืบเนื่องจากกูเกิ้ลอนุญาตให้เว็บไซต์ภาษาไทยติดโฆษณาของกูเกิ้ลได้แล้ว หรือที่เรียกกันว่า "Adsense for content" นั่นเอง ซึ่งโฆษณาที่จะปรากฎขึ้นในแต่ละเว็บแต่ละหน้า จะสอดคล้องกันกับเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นๆ เช่นเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็จะมีโฆษณาอาหารสัตว์ขึ้นมาให้ประมาณนั้น ไฮเทคดีมั้ยครับ ดีกว่าเป็นโฆษณาอะไรก็ไม่รู้ ทั้งขัดกับหน้าเว็บไซต์และรำคาญคนอ่าน ซึ่งบางทีก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องราวในเว็บไซต์นั้นเลย เมื่อโฆษณาไม่ตรงกับความสนใจของผู้อ่าน มันก็ไร้ค่าเปลืองค่าติดโฆษณาเปล่าๆ ที่เห็นเยอะมากๆ ก็พวกโฆษณาลดน้ำหนัก กับ Work at Home ชักชวนให้ทำงานที่บ้านผ่านทางอินเทอร์เน็ต (บางคนก็เสียดสีเรียกมันว่า Work at Hell) กูเกิ้ลก็ใช้หลักการตลาดง่ายๆ คือนำเสนอโฆษณาที่ผู้พบเห็นน่าจะสนใจ เหมือนกับเวลาเซลล์แมนไปขายของก็ต้องมีกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่นำเสนอขายดะ แบบนั้นเปลืองน้ำลาย เสียเวลา และเผลอๆจะขายไม่ได้เลยด้วย แต่การจะขายสินค้าให้ได้นั้น มันต้องทำให้เขาเกิดความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะซื้อ คือต้องนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการใช้งานของลูกค้า ให้ลูกค้าเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้จากการซื้อสินค้าชิ้นนั้น เขาถึงจะซื้อสินค้าเราไงล่ะ ง่ายๆแค่นี้ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถ้าเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้าเราหรือไม่มีความต้องการเป็นทุนเดิม ถึงพูดให้ตายยังไง จะใช้ทั้งมธุรสวาจา สาลิกาลิ้นทอง หรือวาจาลิ้นสองแฉก เขาก็ไม่ซื้อสินค้าเราหรอก ก็ไม่ทราบว่าบล็อกผมเขียนเรื่องราวปลงตกชีวิตมากเกินไปรึเปล่า หรือมีปรัชญาลุ่มลึก ผสมผสานกับเรื่องเผ็ดร้อน คาวๆนิดหน่อย หรือไม่ก็บล็อกนี้ไม่มีแก่นสารอะไรเลย (หาโฆษณาให้ตรงกับเนื้อหาไม่ได้) วันนี้เลยเห็นโฆษณาขึ้นมาตลกๆ มีทั้งเว็บไซต์ธรรมะให้ดับทุกข์ เว็บศาสนาคริสต์ เว็บขายหีบศพ เว็บรับจำนอง ขายฝากและเว็บหาคู่สาวไทย เป็นส่วนผสมที่เยี่ยมยอดอะไรปานนั้น ใครเข้ามาอ่านบล็อกผมคงได้บรรลุธรรมกันบ้างล่ะ นึกว่าเป็นบล็อกธรรมะ โดยมีโฆษณาเป็นปริศนาธรรมขั้นสูงอยู่ข้างๆ (55+) จริงๆแล้วควรขบคิดปริศนาธรรมด้วยตัวเองจึงจะได้ประโยชน์ ไม่ควรเฉลยก่อน แต่ผมขอถอดปริศนาธรรมไว้ให้เลยแล้วกัน (ตามความคิดตัวเอง) ดูซิว่าผมกับผู้อ่านจะคิดเหมือนกันรึเปล่าและเผื่อใครขี้เกียจขบคิดด้วย เอาเป็นว่าโฆษณาพวกนี้สอนเราว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ (ต้องวิ่งหาคู่รักให้วุ่นวายใจ) จึงควรดับทุกข์ด้วยการปฏิบัติธรรม เลิกยึดมั่นถือมั่นตัวกู ของกู (ไม่มีสิ่งใดเป็นของกูอย่างแท้จริง วันหนึ่งคงต้องพลัดพรากจากกัน เช่นเอาไปจำนอง ขายฝาก) เจริญมรณสติ (มีโฆษณาหีบศพเตือนสติ) รีบตายเสียก่อนตาย (รีบปฏิบัติธรรมหาหนทางดับทุกข์ก่อนตาย) และทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข" ส่วนผมก็ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาอยู่ดี เหอๆ

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

โลกยุคอาหารเคมี

สมัยนี้จะกินอะไรก็หวาดระแวงไปหมดทุกอย่าง สัปดาห์ก่อนมีข่าวว่านมผงจีนปนเปื้อนสารเมลามีน ทำให้เด็กไตวายตายไปหลายคน สัปดาห์นี้ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเมื่อตรวจพบเมลามีนในผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อย่างบรรดาขนมทั้งหลายที่เมดอินไชน่าหรืออะไรๆที่ผสมนมจากจีนก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ผมเองก็เสียวๆอยู่เหมือนกัน นึกขึ้นได้ว่าซื้อขนมจากท๊อปเมื่อเดือนที่แล้ว มันซื้อหนึ่งแถมหนึ่งน่ะ เป็นบิสกิตมีไส้ กินหมดเกลี้ยงไปแล้วถุงนึง เมื่อวานนึกขึ้นได้ไปดูอีกถุงที่เหลือ ก็เป็นไปตามคาดว่าเมดอินไชน่า แล้วมีนมผงผสมอยู่ด้วย ไตจะวายมั้ยเนี่ย เหอๆ

ปรากฎการณ์นมน้องหมวยเป็นพิษเนี่ย จะว่าไปก็เกิดจากความโลภของคนแท้ๆ ที่จริงแล้วไม่น่าจะมีเมลามีนมาปนเปื้อนในนมเลย ถ้าเป็นพวกเชื้อโรคหรือเชื้อวัวบ้าก็ว่าไปอย่าง คือเค้าใช้เมลามีนในอุตสาหกรรมพลาสติก ทำภาชนะจานชามอะไรพวกนั้น แต่ไม่ต้องตื่นตกใจว่าใช้จานชามแล้วจะได้กินเมลามีนไปด้วย คือโมเลกุลมันจะเกาะกันเป็นภาชนะอย่างนั้นแหละไม่ค่อยปนเปื้อนเข้ามาในอาหาร นอกจากว่าอาหารนั้นร้อนจัดมากๆ อุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียสหรือเอาเข้าไมโครเวฟ อย่างนี้ก็อันตรายมีโอกาสเป็นมะเร็งได้สูง ซึ่งที่เขาใส่เมลามีนในนมก็เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเยอะ แล้วเวลาที่จะตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหารว่ามีสารอาหารแต่ละชนิดมากน้อยแค่ไหน สำหรับโปรตีนจะดูจากปริมาณไนโตรเจนเนี่ยแหละ (ไม่ได้วัดปริมาณโปรตีนหรือกรดอะมิโนโดยตรง) พ่อค้าหัวใสที่น่าไสหัวพวกนี้เลยฉวยโอกาสทำนมไร้คุณภาพ โดยเอาน้ำนมดิบแท้ๆมาเจือจางด้วยน้ำและเติมเมลามีนลงไป จะได้เพิ่มปริมาณน้ำนมแต่ลดต้นทุนลงไง พอส่งตรวจคุณภาพน้ำนม ก็เลยกลายเป็นว่าน้ำนมบริษัทนี้มีโปรตีนสูงได้มาตรฐานไป สามารถขายให้กับโรงงานผลิตนมผงได้ ที่น่าตกใจคือไม่ใช่มีแค่บริษัทเดียว หรือไม่กี่บริษัทที่ตรวจพบเมลามีนในนม แต่มีเยอะมาก แล้วผลกระทบไม่ใช่มีแค่นมผงเด็กเนี่ยสิ แต่อุตสาหกรรมอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาซื้อนมไปผลิตสินค้าเลยเจอดีไปด้วย ตอนนี้ถ้าอยากรู้ว่าสินค้าในบ้านเราตัวไหนที่มีเมลามีนปนเปื้อนก็คอยติดตามดูข่าวอย.แล้วกันนะครับ (เว็บไซต์อย. http://www.fda.moph.go.th/) เค้ากำลังจะทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ ซึ่งเท่าที่ประกาศมาตอนนี้ยังตรวจไม่เจอเมลามีน โชคดีไป

ผมว่าพวกผู้ผลิตนมที่เห็นแก่ได้นี้ควรจะโดนลงโทษให้สาสม ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้ล้มละลายไปเลยก็ดี โทษฐานทำธุรกิจโดยไม่ห่วงใยผู้บริโภค และไม่สำนึกเลยว่าวันใดวันหนึ่งคงได้มีโอกาสกินอาหารผสมเมลามีนฝีมือตัวเอง เป็นวัฏจักรหมุนเวียน กงเกวียนกำเกวียน จริงๆแล้วพฤติกรรมอย่างนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกประเทศ ทุกชนชาติ แต่อาจจะไม่ร้ายแรงหรือมีคนได้รับผลกระทบมากเท่า อย่างการปลอมปนอาหาร, ใส่สารเคมีลงในอาหารโดยที่กฏหมายไม่อนุญาต หรือใส่ปริมาณมากเกินกว่าที่กฏหมายอนุญาตให้ใส่ เพื่อให้สินค้าตัวเองมีรูปลักษณ์ดูดีน่ากิน ดึงดูดลูกค้า เพิ่มปริมาณ(แบบไร้คุณภาพ) หรือเพื่อให้เก็บไว้ได้นานๆ ดูสดอยู่ตลอดเวลา ไม่เน่าเสีย อย่างของไทยเราที่เห็นใกล้ๆตัว ก็ขนมจีนน้ำยาผสมทิชชู่ (อันนี้ไม่น่าจะเป็นพิษ แต่อาจมีประโยชน์ช่วยเพิ่มเส้นใยอาหารได้ 55+) ลูกชิ้นเด้งผสมบอแรกซ์ (ให้ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง กรอบอร่อยน่ากิน) เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีสารกันบูดมากเกินไป (จริงๆมีอาหารอีกหลายๆอย่างที่แม่ค้าอาจจะใส่สารกันบูดมากเกินอัตราที่กำหนด เพื่อให้วางขายได้หลายๆวัน แต่ยังตรวจไม่เจอ) อาหารผสมสีย้อมผ้าทำให้สีสันฉูดฉาดดึงดูดใจแต่มีโลหะหนัก หรือแหนม ไส้กรอกที่ใส่ดินประสิวมากเกินไป ถ้าติดตามข่าวดีๆจะเห็นได้เยอะ ว่างๆก็ลองไปอ่านข่าวของอย.ดูได้

ยิ่งคนเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ก้าวไกล มีการคิดค้นสารเคมีใหม่ๆมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น คนกลับยิ่งได้รับผลกระทบจากสารเคมีกันมากขึ้น เพราะคุณธรรมของคนไม่ค่อยจะพัฒนาตาม แต่กลับเสื่อมทรามมากขึ้นทุกที เทคโนโลยีเลยกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ เอามาใช้ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ ประกอบกับการขาดความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มี สารเคมีก็ยิ่งสร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติได้รุนแรงมากขึ้น และถึงแม้ว่าจะเอาสารเคมีมาใช้ถูกต้อง ใช้ในปริมาณที่กฏหมายอนุญาต และมีองค์กรต่างๆมากมายรับรองว่าใช้ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัยเสมอไป อย่าเพิ่งไว้วางใจ คือก่อนจะอนุญาตให้เอาสารเคมีตัวไหนมาใช้ใส่ในอาหารได้ จะต้องมีการศึกษามาก่อนแล้ว ว่าควรใส่แค่ไหนจึงปลอดภัยไม่เกิดพิษ แต่ผลการศึกษาเท่าที่มีนี้อาจไม่เพียงพอที่จะรับประกันได้ว่าปลอดภัย 100% เพราะทดลองในสัตว์ทดลองและระยะเวลาอาจไม่นานพอที่จะเห็นพิษ ซึ่งสารที่ใช้เติมแต่งอาหารนี้ก็จะมีการศึกษาออกมาเรื่อยๆ สารบางอย่างเคยอนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต่อมาพบว่ามีพิษเกินกว่าจะยอมรับได้ก็ถูกห้ามไม่ให้ใช้ในอาหาร เช่นสารให้ความหวานและสีแต่งอาหารบางตัว

เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปทั้งหลายมักจะใส่สารเติมแต่ง เพื่อให้อาหารน่ากิน มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น หรือคงสภาพไว้ได้นาน แต่บางอย่างถ้ากินสะสมเข้าไปมากๆก็อาจเกิดโรคขึ้นได้ ที่เห็นได้ชัดเจนคือมะเร็งที่คนเป็นกันมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำว่าไม่ควรกินอาหารชนิดเดียวหรือประเภทเดียวซ้ำๆเพราะจะได้สารเคมีชนิดเดิมๆสะสม (เช่น เช้ากินไส้กรอก เที่ยงกินแหนม เย็นกินแฮม ก็จะได้ดินประสิวไปเต็มๆทั้งวัน หรือกินมาม่าทุกวันก็อันตรายนะครับ) ควรกินอาหารให้หลากหลายเข้าไว้ซึ่งนอกจากจะได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังจะได้สารเคมีครบทุกประเภทด้วย 55+ อันนี้จริงๆครับ คือถ้ากินแต่อาหารเดิมๆ ยี่ห้อเดิมๆ บ่อยๆ ก็จะได้รับแต่สารเคมีที่ปรุงแต่งในอาหารชนิดนั้น (เช่นสารกันบูด ดินประสิว สารให้ความหวาน สารฟอกขาว สารแต่งสีแต่งกลิ่น แล้วแต่ชนิดของอาหาร) สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเราจะกำจัดออกไปไม่ทัน แต่ถ้ากินอาหารหลากหลายชนิด เราก็จะได้สารเคมีหลายๆชนิด อย่างละนิดอย่างละหน่อย ซึ่งกลไกของร่างกายที่ใช้กำจัดสารแต่ละตัวก็อาจจะแตกต่างกัน จึงมีโอกาสกำจัดได้หมด ไม่ให้สะสมคั่งค้างในร่างกาย สังเกตได้ว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากเมลามีนโดยตรงมีแต่เด็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเด็กมีความต้านทานต่ำกว่าผู้ใหญ่ และน่าจะเกี่ยวกับการที่เด็กกินแต่นมด้วย กินนมทุกวันจนเมลามีนไปตกตะกอนที่ไต จนไตวาย แต่ผู้ใหญ่ไม่ได้กินนมหรืออาหารผสมนมปนเปื้อนเมลามีนเป็นอาหารหลัก จึงยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าในระยะยาวก็ไม่แน่

นอกจากอาหารสำเร็จรูปที่มีสารเคมีปรุงแต่งแล้ว อาหารสดก็หนีไม่พ้นสารเคมี อย่างน้อยๆก็มียาฆ่าแมลงค้างอยู่ในผักผลไม้บ้างล่ะ และคงเคยได้ยินว่ามีอาหารทะเลชุบฟอร์มาลิน แอ้ปเปิ้ลเคลือบผิวให้มันเงางาม ข้าวที่ปนเปื้อนโลหะหนัก (เพราะมีการทำเหมืองแร่ใกล้ๆนา) ดังนั้นในยุคที่อาหารอุดมไปด้วยสารเคมีนี้ จะกินอะไรก็ต้องเลือกให้ดีๆ คัดสรรอาหารที่น่าจะปลอดภัยต่อเรามากที่สุด มีตราอย.รับประกัน (อย่างน้อยก็วางใจได้ระดับนึง ว่าอาหารนั้นไม่น่าจะใส่สารเติมแต่งเกินมาตรฐานที่กำหนด หรือมีสารปนเปื้อน เช่นโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) เลือกร้านหรือยี่ห้อที่ไว้ใจได้ก็ยิ่งดี รัฐบาลก็ต้องดูแลให้เข้มงวด อย่าให้ผู้ผลิตอาหารเอาเปรียบได้

แต่ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก เห็นไส้กรอกแดงๆอวบๆน่ากิน นึกขึ้นได้ว่ามีดินประสิวนี่หว่า กินมากจะได้ไนโตรซามีนเป็นมะเร็งตายก่อนวัยอันควร ระวังตัวจนไม่กล้ากินอะไรเลย ก็ระวังจะตายเพราะขาดสารอาหารแทนนะครับ เหอๆ วิธีการก็อย่างที่บอกไปคือกินอาหารให้หลากหลายดีกว่ากินอย่างเดิมซ้ำๆ และถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะกลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิมๆ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (นอกจากมีคุณค่าสูงแล้วยังปลอดภัยและประหยัดด้วย) ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ปลูกไม้ผล ทำบ่อปลา เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้กินเองบ้างก็น่าจะดีไม่น้อยนะครับ ทำเท่าที่จะทำได้ อีกอย่างคือควรสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ และเกษตรแบบผสมผสานกันให้มากขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงลงบ้าง ก็น่าจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่ในยุคอาหารเคมีได้อย่างมีความสุขขึ้น เสี่ยงภัยเจ็บป่วยเนื่องจากพิษสารเคมีที่แฝงมากับอาหารลดลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

สอบปีสุดท้ายกับ Honor system

เมื่อวานเพิ่งสอบปลายภาควิชาสุดท้ายเสร็จ ซึ่งเทอมนี้ได้มีโอกาสสอบกันแบบระบบไว้เนื้อเชื่อใจถึง 2 วิชา ให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการสอบที่ผ่านๆมาในชีวิต แล้วมันเป็นยังไงเจ้าระบบไว้เนื้อเชื่อใจที่ว่าเนี่ย ภาษาอังกฤษเรียก Honor system แปลเป็นไทยแบบสวยหรูคือระบบเกียรติศักดิ์ การสอบแบบนี้ง่ายมาก อาจารย์ก็แค่เอาข้อสอบมาแจกให้นักศึกษาแต่ละคน จัดให้นั่งแยกๆกระจายกันไป ต่างคนต่างทำ แล้วอาจารย์ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งซองกระดาษสีน้ำตาลใส่ข้อสอบไว้ให้ดูต่างหน้า ใครทำเสร็จก็เอาข้อสอบมาใส่ เป็นอันเสร็จสิ้นการสอบ พอหมดเวลาอาจารย์ก็โผล่มาอีกทีมาเก็บข้อสอบกลับไป ง่ายๆแค่นี้เองแต่ให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ ฟังดูอาจจะเวอร์ไปนิด แต่การที่มีคนไว้ใจเราขนาดนี้กลับรู้สึกดี ไม่เหมือนสมัยเป็นนักเรียนหรือเป็นนักศึกษาปีแรกๆที่อาจารย์เข้มงวดกับการสอบมาก กระดาษแค่เสี้ยวเดียวก็อาจจะทำให้สอบตกได้ พอหมดเวลาปั๊บก็มาดึงข้อสอบไปเลย แต่ความเข้มงวดมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละที่แต่ละคณะด้วยละนะ แต่อย่างน้อยก็คือต้องมีอาจารย์นั่งเฝ้า ซึ่งอาจารย์จะนั่งเม้าท์กัน อ่านหนังสือหรือทำอะไรก็สุดแท้แต่อาจารย์ แค่ให้มองเห็นความเคลื่อนไหวในห้องสอบไม่ให้มีใครโกงก็พอ ส่วนใหญ่คนสอบก็จะไม่ค่อยกล้าโกงหรือลอกกันหรอก (แต่ถ้ามีโอกาสก็จะทำ 55+ นั่นขึ้นอยู่กับนิสัยและประสบการณ์แต่ละคนด้วย) แต่พอได้มาสอบกันแบบผู้ใหญ่เป็น Honor system นี่สิ มีโอกาสโกงได้ตลอดเวลา คนสอบก็มีอยู่ไม่กี่คน ช่างยั่วยุกิเลศตัณหาให้อยากล้วงๆควักๆ...ตำราออกมาเปิดใจจะขาด ผมว่าถ้าร่วมมือกันทั้งห้องสอบนี่ลอกกันสบายเลย แต่ปรากฎว่าไม่มีใครทำอย่างนั้น (อดเลย 55+) ผมว่าสอบแบบนี้มันให้ความรู้สึกไปอีกแบบ คนสอบมักไม่ค่อยกล้าโกง (ถ้ามีจริยธรรมมากพอ) คือถ้าโกงกันก็จะรู้สึกผิดที่อาจารย์อุตส่าห์มอบความไว้วางใจ ให้เกียรติกันขนาดนี้ การลอกข้อสอบก็เท่ากับไม่เคารพในความไว้วางใจนั้น ถึงแม้อาจารย์จะไม่รู้ไม่เห็นการฉ้อโกงก็ตาม ที่สำคัญภาพเหตุการณ์ขณะสอบนั้นจะติดวนเวียนอยู่ในสมองไปจนตาย ถ้าหากสามารถสอบได้โดยไม่โกงกันเลยแม้แต่น้อย จะเกิดความภาคภูมิใจในตนเองและเกรดที่ได้มาโดยสุจริต แต่ถ้าทนกิเลศไม่ไหว พฤติกรรมที่ไม่สุจริตนั้นจะคอยย้ำเตือนให้รู้สึกผิดตลอดช่วงชีวิต เกรดที่ได้มาก็ไม่น่าภาคภูมิใจ มันทำให้เห็นสัจธรรมชีวิตเลยว่าเกรดซึ่งเป็นของนอกกาย (รวมทั้งเงินทอง ยศศักดิ์ อำนาจ) เทียบไม่ได้เลยกับเกียรติและความซื่อสัตย์สุจริต แล้วไม่แน่ว่าคนที่ร่วมสอบอยู่ด้วยมาเห็นการกระทำนั้นก็อาจจะเกิดความรู้สึกในแง่ลบกับคนโกงขึ้น กลายเป็นว่าคนโกงในระบบเกียรติศักดิ์เลวยิ่งกว่าคนโกงในระบบทั่วไปซะอีก ความกลัวเกรงการทำผิดใน Honor System กับระบบการสอบธรรมดามันต่างกัน ในระบบการสอบธรรมดา เราไม่กล้าโกงเพราะกลัวถูกลงโทษตามกฏนั่นคือถูกปรับตกในวิชานั้นและอาจถูกพักการเรียนด้วย แต่ในระบบ Honor System มันเป็นระดับที่สูงกว่านั้นคือกลัวเกรงต่อจิตใจส่วนที่ดีของตน เกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตตัปปะ) และบทลงโทษทางสังคม ดังนั้นการสอบในปีสุดท้ายนี้ นอกจากจะเป็นการสอบเพื่อวัดความรู้แล้ว ยังเป็นการทดสอบใจตัวเองด้วย ว่ามีคุณธรรมจริยธรรมเพียงพอที่จะจบเป็นบัณฑิตไปรับใช้ประชาชนหรือยัง โดยที่มีตัวเราเองนี่แหละเป็นผู้ตัดสินให้คะแนน จะว่าไปการสอบแบบไว้ใจกันอย่างนี้น่าจะปลูกฝังความซื่อสัตย์ให้เยาวชนได้ดีกว่าการพร่ำสอนกันปากเปียกปากแฉะหรือต้องมีคนคอยคุมคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่บ้านเมืองเราเป็นอยู่ตอนนี้ เยาวชนจะได้เติบโตเป็นอนาคตของชาติ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีความซื่อสัตย์สุจริตในตัวเองไม่ต้องให้มีใครมาคอยตรวจสอบ ถึงอยู่ลับหลังก็หน้าบางไม่กล้าโกง ไม่เหมือนนักการเมืองไทย ที่มีองค์กรคอยตรวจสอบสารพัด มีประชาชนคอยจับตามองทั้งประเทศ แต่ก็ยังโกงทรัพย์สินของชาติกันหน้าตาเฉย จับได้แล้วว่าโกงก็ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหมือนเด็กนักเรียนที่โดนจับได้ว่าแอบพกโพยเข้าห้องสอบก็ยังเถียงอาจารย์เอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมรับผิด ทำให้นึกถึงบทความของอาจารย์นิธิที่บอกว่าปฏิรูปการเมืองอย่างเดียวไม่ช่วยแก้ปัญหาบ้านเมืองหรอก คงจะจริงเพราะที่สำคัญกว่านั้นคือการพัฒนาคุณภาพของคนต่างหาก ควรจะมีการปฏิรูปสังคม ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปวัฒนธรรมกันใหม่ได้แล้ว ประเทศชาติเราต้องการคนดี ซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนและเป็นส่วนตัวคนเดียว ทั้งเมื่อมีกฏหมายบังคับและไม่มีกฏหมายบังคับ มิฉะนั้นก็จะยังคงมีนักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจสายพันธุ์เดิมๆ หาช่องว่างของกฏหมาย ลักลอบบ่อนทำลายชาติกันต่อไป เหมือนนักเรียนหัวเกรียนที่แอบลอกข้อสอบตอนอาจารย์เผลอเหล่สาว ถึงจะมีอาจารย์คอยเฝ้ากี่คนมันก็ป้องกันการทุจริตได้ไม่ยั่งยืนหรอก

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

กับดักการปราศรัยพันธมิตร

เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมฟังวิทยุคลื่น 97.75 ซึ่งถ่ายทอดเสียงการชุมนุมพันธมิตร ก็มีแกนนำคนหนึ่งขึ้นมาพูดปราศรัยโจมตีนักวิชาการท่านหนึ่งนั่นคือ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ สืบเนื่องจากการที่อ.นิธิ เขียนบทความลงไว้ในหนังสือพิมพ์มติชนเรื่อง "ปฏิรูปสังคม" แล้วเกิดทำให้แกนนำท่านนั้นไม่พอใจหลายๆประการ เท่าที่จับใจความได้ ได้แก่
1.กล่าวหาว่าการชุมนุมของพันธมิตรไร้เดียงสา
2.หาว่าพันธมิตรมา hijack ทำเนียบรัฐบาล
3.อ.นิธิ บอกว่าการนำคนดีมาปกครองบ้านเมือง ไม่มีประโยชน์


แล้วแกนนำท่านนั้นก็โจมตีอ.นิธิ อย่างรุนแรงทั้งเรื่องคุณธรรมจริยธรรมของตัวอาจารย์เอง ที่มีข่าวในทางเสียหายกับภรรยาผู้อื่น และสรุปสุดท้ายว่าเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลขายชาติ เชื่อว่าใครที่ฟังอยู่ในที่ชุมนุมก็คงจะรู้สึกคล้อยตามไปกับแกนนำท่านนี้

เอารายละเอียดการปราศรัยของแกนนำท่านนี้มาจากบล็อกของกลุ่มคนจุดตะเกียง ลองอ่านดูนะhttp://onknow.blogspot.com/2008/09/blog-post_2750.html

“สมศักดิ์”สวน “ดร.นิธิ”กล่าวหาพันธมิตรฯ ไฮแจ๊กทำเนียบ จวกไม่เข้าใจสิทธิเสรีภาพการชุมนุม ระบุยึดทำเนียบป้องกันนักการเมืองชั่วโกงกินประเทศ ย้อนกลับนักวิชาการ ม.เที่ยงคืน พฤติกรรมเฒ่าหัวงู ไร้ศีลธรรมไฮแจ๊กเมียเพื่อน ซ้ำพูดเหมือนคนบ้า อ้างเอาคนดีมาปกครองบ้านเมืองไร้ประโยชน์

เมื่อเวลา 22.40 น. วันที่ 22 ก.ย. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า เรามาต่อสู้เพื่อให้ความดีงาม แต่มีบางคนไปพูดให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ไร้เดียงสา และทำให้ “3 เกลอ”ที่จัดรายการ “ความจริงวันนี้”เอาไปอ้างต่อ จึงน่าจะพูดได้ว่านายนิธิ เป็นนักวิชาการสาย นปก.โดยแท้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า คำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ไม่น่าจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 113 แต่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องตามมาตรา 112 ไปแล้ว นอกจากนั้นยังเคยบอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณให้เงินมาใช้เคลื่อนไหวโดยไม่มีเงื่อนไขก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย ทั้งที่เป็นเงินที่โกงบ้านโกงเมืองมา

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นายนิธิได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนว่า พันธมิตรฯ ไร้เดียงสา และอ้างว่าไม่ควรมีคนกลุ่มใดไปไฮแจ๊กทำเนียบรัฐบาล (จับทำเนียบฯเป็นตัวประกัน) เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเท่ากับว่านายนิธิไม่รู้เรื่องสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม สมัยที่สมัชชาคนจนมาชุมนุมหน้าทำเนียบนายนิธิก็ทำเป็นเมตตาคนจน แต่ตอนนี้กลับไปอยู่กับระบอบทักษิณ

“นักวิชาการคนนี้เปิดมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อ้างว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางเลือก แล้วตอนนี้ก็ไฮแจ๊กเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง หลังจากวิจัยกันไปวิจัยกันมา จนหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่านิธิเตียงหัก เราไฮแจ๊กทำเนียบเพื่อไม่ให้คนชั่วมาโกงกินประเทศชาติ เราทำเพื่อความดี แต่นักวิชาการที่ไฮแจ๊กเมียเพื่อนนั้นชั่วช้าสิ้นดี ไม่รู้ว่าไร้เดียงสา หรือไม่ประสีประสากันแน่

“เราเป็นพลเมืองดีที่กล้ามาเปิดโปงนักการเมืองชั่วขายชาติ จนมีคำพิพากษาตัดสินออกแล้ว คตส.ก็ตรวจสอบแล้วผลปรากฏออกมาโกงไป 2 แสนกว่าล้าน โกงเลือกตั้งก็ผิดชัดแจ้ง แล้วนักวิชาการขี้หมูไหลพวกนี้ไม่ว่าสักคำ แต่มันมาตำหนิคนดี ใครที่ตำหนิคนดี เขาเรียกว่าอะไรครับพี่น้อง”

นายสมศักดิ์ ย้ำว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดีละเว้นจากความชั่ว ให้คนกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดินเกิด ต้องรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน ใครมาทำลายเราต้องลุกขึ้นสู้ เป็นการทำหน้าที่พลเมืองดี แล้วมันไร้เดียงสาตรงไหน นักวิชาการที่พูดแบบนี้ควรปลดตัวเองไปเลี้ยงหมูเลี้ยงแมวดีกว่า คุณอาจคิดว่าคุณมีความรู้ดี แต่ความประพฤติไม่ดีเลยเพราะฉะนั้นถ้าเจอที่ไหนจะฉะที่นั่น จะตำหนิ เพราะหลักพุทธศาสนาบอกว่า ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ตำหนิคนที่ควรตำหนิ

“เขาว่ามหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เป็นมหาวิทยาลัยเลือก ตกลงก็เลือกเอาเมียเพื่อนมาทำเมียตัวเอง แค่นี้ก็ผิดศีลธรรม ร้ายแรงแล้ว ถ้าเป็นข้าราชการประพฤติชั่วอย่างนี้โทษต้องไล่ออกจากราชการ คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร”

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายนิธิยังให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง แม้ว่าจะมีพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ให้คนไม่ดีเข้าไปมีอำนาจก่อความวุ่นวายได้ แต่นักวิชาการบ้าคนนี้บอกว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง มันเลยส่งเสริมคนชั่วให้ปกครอง

นอกจากนี้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็พูดอยู่เสมอว่า อย่ายกย่องคนมีเงินที่ฉ้อฉล ขอให้ยกย่องคนดีมีศีลธรรมให้มาปกครองบ้านเมือง ซึ่งนี่คือสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ แต่นักวิชาการพวกนี้มันบ้าสนิทแล้ว ที่บอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้คนดีมาปกครอง ทั้งที่ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น เหมือนคำพูดของท่านพุทธทาสที่ว่า ปวงมนุษย์ทั้งหลายนั้นดีกว่าสัตว์ตรงที่มีศีลธรรมคุณธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมคุณธรรมก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน

“ผมพูดเสมอว่า คางคกตัวผู้เคยรุมข่มขืนคางคกตัวเมีย แล้วฆ่าทิ้งไหม ไม่มี มีแต่คนที่ข่มขืนผู้หญิงแล้วฆ่าทิ้ง จึงเรียกพวกนี้ว่าสัตว์นรก เพราะฉะนั้นบ้านเมืองต้องมีระบบคุณธรรมจริยธรรม โดยมีศาลเป็นคนตรวจสอบ ทุกสังคมต้องมีมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม และต้องให้ผู้นำประเทศเป็นแบบอย่าง”

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นักวิชาการพวกนี้ชอบทำให้คนสับสน คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ พวกนักวิชาการกะเรี่ยกะราด มาหาว่าพันธมิตรเป็นเผด็จการ ทั้งที่ตัวเองเป็นอาจารย์ ยังไม่รู้อีกว่า ทักษิณเป็นเผด็จการทุนนิยมสามานย์ พอๆ กับฮิตเลอร์ ตนเคยไปศึกษาสถาบันฮิตเลอร์มาแล้ว เหมือนทักษิณทุกอย่าง เรื่องการฆ่าตัดตอน การอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีกรือเซะ-ตากใบ นอกจากนั้นระบอบทักษิณยังมีเรื่องการโกง ทุจริต ยกดินแดนพระวิหารให้เขมร ทำผิดกฎหมายอาญา ทำผิดไปผิดมาก็หนีศาล หนีหมายจับ แล้วรัฐบาลนอมินีก็ไม่เห็นรักษาผลประโยชน์ชาติ คนเป็นผู้ร้ายหนีคดีอาญา ถูกออกหมายจับ รู้ไปทั่วโลก แต่ก็ยังไม่กล้าถอนพาสปอร์ตสีแดงเลย

“มันหาว่าเราต่อรอง มันดูถูก คนทั่วโลกเขาก็ชุมนุมกันทั้งนั้น หาว่าเราไฮแจ๊กทำเนียบ ไม่รู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลไหนไม่ดีประชาชนมีสิทธิยึดอำนาจคืน เขาไม่รู้จักประชาธิปไตย ไม่รู้เรื่องรัฐศาสตร์ หรือไม่ก็รับจ้างมาพูด นักวิชาการคนนี้ อดีตเคยเป็นคนน่าเชื่อถือ คนเคยทำดีผมก็ชื่นชม แต่ตอนที่ไม่ดี ก็ถือว่า เขาเป็นศัตรูกับประชาชน ไปรับใช้ทรราชระบอบทักษิณ

“แถมพฤติกรรมของตัวเองยังไม่น่าเชื่อถือเลย ถ้าเป็นกรรมกรก่อสร้าง ไปเอาเมียคนอื่นมาเป็นเมียตัวเอง คนเขาก็ต่อว่านิสัยไม่ดี แต่นี่เป็นนักวิชาการไปเอาเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง ทั้งที่ตัวเองก็แก่แล้ว เป็นเฒ่าหัวงู อายุ 60 กว่าใกล้ 70 แล้ว ยังไปเอาเมียชาวบ้านมาเป็นเมียตัวเอง อย่างนี้เขาเรียกว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน”

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนจะเป็นผู้นำคนต้องมีคุณธรรมจริยธรรม มีมาตรฐานให้คนอื่นยอมรับได้ ไม่ใช่พูดได้ทุกเรื่อง แต่ทำไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว อย่างกรณีนายนิธิ ศีลข้อเดียวก็ยังถือไม่ได้ จะเป็นอาจารย์ทำผีอะไร คนเป็น ต้องมีศีลมีสัตย์ ถ้าไม่มีก็ไปเป็นโจรดีกว่า ไม่ต้องเหนื่อย แต่ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องมีศีลธรรม เช่นเดียวกับจะเป็นนักการเมืองต้องเสียสละ มีคุณธรรมไม่ใช่มีอาชีพโกงกิน

“บ้านเมืองเราศีลธรรมกำลังเสื่อม เราต้องมากู้ศีลธรรม เอาผู้ปกครองที่ชั่วออกไป เพราะถ้าคนชั่วปกครอง ชีวิตเราก็เหมือนหมาเน่า เราต้องให้คนดีมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือเอกลักษณ์ จุดยืนของประเทศไทย อย่าประมีประนอมกับความชั่ว ผมไม่ยอม มาด่าพี่น้องเราไม่ได้ เรามาต่อสู้เพื่อคุณความดี ใครคนใดคนหนึ่งเจ็บเราเจ็บ ใครแพ้เราก็แพ้ด้วย เราเป็นพี่น้องกัน ยอมตายเพื่อชาติ พร้อมสู้ทุกมิติ เรื่องอะไรจะให้พวกเลวๆ มันมาว่าพี่น้อง โดยที่ตัวเองอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้นใครดีเลว ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ อย่าพูดอย่างเดียว”

นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า เราอย่าไว้ใจ คนที่ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หรือคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ทำให้หน้าห้องต้องผูกคอตาย เราอย่าไว้ใจที่โหดเหี้ยมอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าประมาท ขอให้เราตรึงทำเนียบไว้ตลอด เพราะวัน 2 วันมานี้ มีตำรวจมาด้อมๆ มองๆ ถ้าเห็นพวกเราน้อย ก็อาจจะซุ่มเข้ามา ขณะที่อีกทางหนึ่งก็จ้างนักวิชาการไว้พูดทำลายพวกเรา เรายิ่งต้องระมัดระวัง แต่อย่าเครียด พี่น้องมาทำบุญหน้าตาต้องอิ่มเอิบ เรามาทำความดี อย่าเครียด ขอให้มั่นใจ ยืนหยัดต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทรราชย์ต่อไป

อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ แต่ขอเตือนว่าการฟังการปราศรัย ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ได้มาจะรับฟังได้รวดเร็ว ครอบคลุม กระชับ และเข้าใจได้ง่าย เพราะผ่านการย่อยมาจากผู้ปราศรัยแล้ว แต่ต้องระวังกับดักทางความคิดอย่างยิ่ง คือผู้ปราศรัยสามารถที่จะหยิบยกเอาเฉพาะประเด็นที่ตัวเองได้เปรียบมาพูด เหมือนกับการตัดส่วนนั้นส่วนนี้จากแหล่งต่างๆเอามาผสมปนเปกันและพูดให้ฝ่ายตัวเอง"ดูดี"ขึ้นมาได้ทันตาเห็น โดยขาดการลงรายละเอียดปลีกย่อย และผู้ฟังแทบจะไม่ได้ตรึกตรองเลย นอกจากมีอารมณ์คล้อยตามผู้พูด (โดยเฉพาะถ้าไม่มีความรู้หรือข้อมูลเรื่องนั้นมาก่อน) ในส่วนที่เป็นรายละเอียดที่ผู้พูดไม่กล่าวถึงนี่แหละ บางทีอาจจะตรงกันข้ามกับประเด็นที่ผู้พูดต้องการจะสื่อ ดังนั้นเวลาคุณฟังการปราศรัย คุณเคยนึกสงสัยบ้างมั้ยว่าที่เค้าพูดมานั้นเชื่อถือได้แค่ไหน เคยคิดจะไปสืบค้นแหล่งข้อมูลเต็มๆมาอ่านเพิ่มมั้ย เคยลองไปอภิปรายกับคนอื่นๆที่รู้ข้อมูลมาก่อนมั้ย ถ้าไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ก็ระวังจะตกเป็นเครื่องมือของผู้ปราศรัยนะครับ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังสอนไม่ให้เชื่อคำสอนของครูอาจารย์ทันที ก่อนจะเชื่อต้องพินิจพิเคราะห์ทดลองด้วยตัวเองก่อนจึงค่อยเชื่อ แล้วนี่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชดำเนินจะเรียนการเมืองแบบเชื่ออาจารย์ไปทั้งหมดก็ดูจะไม่ใช่ผู้มีปัญญาเค้าเรียนกัน จะกลายเป็นแกะให้เขาจูงไปได้ง่ายๆมากกว่า ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธการฟังการปราศรัยของพันธมิตรนะครับ เพราะผมเองก็ฟังอยู่บ่อยๆทางวิทยุ บางเรื่องบางท่านพูดได้ดีมีประโยชน์ ได้ความรู้มาก แต่ฟังแล้วขอให้นำมาตรึกตรองคิดดูก่อน อย่าเพิ่งเชื่อทันทีทันใดแบบไปไหนไปกัน เขาพาไปตายก็ยังตามเขาไป แบบนั้นไม่ใช่คนฉลาดมีปัญญา

พอได้ฟังแกนนำคนนี้พูดจบผมก็ไปหาบทความ "ปฏิรูปสังคม" นี้มาอ่าน จึงได้ประจักษ์ถึงปัญญาอันล้ำเลิศของแกนนำท่านนี้ ที่อ่านแค่เพียงบางประโยคก็เอามาพูดปราศรัยให้คนคล้อยตามเฮกันใหญ่ได้ ถ้าจะเทียบกับสุภาษิตไทยก็ประมาณ "ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด" หรือไม่ก็พออ่านไม่กี่ประโยคก็เกิดความเดือดดาลคันปากอยากด่าคน เอาเป็นว่าคล้ายๆจะเป็น "กระต่ายตื่นตูม"

ลองอ่านบทความเต็มเรื่อง "ปฏิรูปสังคม" นี้ดูดีๆนะครับ

"น่ายินดีที่ฝ่ายพันธมิตรออกมาปฏิเสธว่า การเมืองใหม่ 70/30 ไม่ใช่เงื่อนไขตายตัว เป็นเพียงข้อเสนอเชิงตุ๊กตาเพื่อการถกเถียงอภิปรายกันเท่านั้น จึงเท่ากับการเปิดประตูให้กว้างขวางแก่ทุกฝ่าย ที่จะเข้ามาช่วยกันคิดและเสนอ เพราะจริงอย่างที่ฝ่ายพันธมิตรกล่าว ขณะนี้สังคมจำเป็นต้องร่วมกัน "ปฏิรูป" อีกครั้งหนึ่ง ต่อจากช่วง 2535-40

อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการ "ปฏิรูป" แบบเปิดกว้าง ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกดดันของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องเป็นบรรยากาศที่ทุกกลุ่มทุกฝ่าย รู้สึกปลอดภัยและอิสระเสรีในการเข้าไปมีส่วนร่วม อันไม่ใช่บรรยากาศของกลางฝูงชนที่กำลังประท้วง (ด้วยเรื่องอะไรกันแน่...ไม่มีใครทราบ)

สภาพการณ์ที่จำเป็น ผมคิดว่ามีอย่างน้อย 3 ประการ

1/ ขออย่ามีกลุ่มใดอ้างว่า เป็นตัวแทนของ "ประชาชน" เลย ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับอาณัติจากสังคม ขอให้เข้าใจด้วยว่า อาณัตินั้นไม่ได้เด็ดขาดในทุกเรื่อง แต่จำกัดเฉพาะนิติบัญญัติ อีกทั้งต้องใช้กระบวนการที่ประชาชนอาจมีส่วนร่วมได้ตลอดเวลาด้วย ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุม, จัดสัมมนา-เสวนา, แถลงการณ์ของสหภาพหรือนักวิชาการ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นความเห็นของผู้ลงนามเท่านั้น เสนอขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับไปพิจารณา

ไม่ควรที่กลุ่มใดจะไฮแจ๊คความปกติสุขของสังคม, หรือไฮแจ๊คทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ท้องถนนอย่างถาวร ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้รับความเห็นของตน มิฉะนั้นก็จะไม่คืนตัวประกัน

2/ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดว่าให้คนดีปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่เพราะคำพูดนี้ผิด แต่เป็นภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไร พูดเมื่อไรก็ถูกเมื่อนั้น แต่เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้แน่ว่าใครคือคนดี แม้แต่ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าดี ก็อาจผันแปรเป็นไม่ดีไปได้เมื่อเงื่อนไขชีวิตเปลี่ยนไป เช่นมีอำนาจและลูกน้องที่จะต้องเลี้ยงดู หรือถึงจะเป็นคนดีแต่ไม่มีฝีมือในการบริหาร ก็ไม่ทำให้เกิดผลดีแก่ส่วนรวม

ที่ต้องใช้ปัญญาอย่างแท้จริงคือ กระบวนการอะไรจึงทำให้คนดีและมีฝีมือ ได้ปกครองบ้านเมือง และดำรงความดีกับฝีมือของตนไว้ได้ตลอดไป คำตอบของนักปราชญ์ฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ ต้องเปิดให้แก่การตรวจสอบของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ทั้งในระบบ (รัฐสภา, องค์กรอิสระ, คณะกรรมการประเภทต่างๆ, อำนาจที่คานกันเองได้ทั้งในระนาบเดียวกันและต่างระนาบ ฯลฯ) และนอกระบบ (การประท้วง, สื่อ, ความเคลื่อนไหวทางการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมที่อิสระเสรี, การแสดงออกทางวัฒนธรรม ฯลฯ)

หากที่ผ่านมา เราไม่อาจขจัดคอร์รัปชั่น, ความไร้สมรรถภาพ, เผด็จการทางรัฐสภา ฯลฯ ได้ ก็ควรหันมาทบทวนกลไกการตรวจสอบ และสร้างกลไกและหลักประกันในการตรวจสอบให้เป็นจริง

ร้ายยิ่งไปกว่านั้น การใช้หลักการที่ไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ "ปฏิรูป" ยังอาจนำไปสู่การแสวงหาคนดีที่หลุดไปจากการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดของสาธารณชนด้วย เช่นข้อเสนอให้แต่งตั้ง ส.ส.หรือบุคคลสาธารณะ หรือการยกอำนาจทั้งหมดให้แก่คณะบุคคลที่ประชาชนไม่อาจตรวจสอบได้เลย (เช่นกองทัพ, องคมนตรี, ตุลาการ, นายกฯคนนอก ฯลฯ) ในการเลือกสรรคนดีเข้ามาดำรงตำแหน่ง

น่าประหลาดที่เขาเรียกการรอนอำนาจประชาชนเช่นนี้ว่า "ประชาภิวัฒน์"

ไม่แต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ข้อเสนอประเภทภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาเช่นนี้ยังมาจากทุกฝ่าย เช่น รัฐบาลแห่งชาติ (ประหนึ่งคำว่าแห่งชาติคำเดียวจะทำให้ทุกอย่างดีเอง), สุมหัวกันแก้รัฐธรรมนูญในหมู่นักเลือกตั้ง (ประหนึ่งว่านักเลือกตั้งมีคุณสมบัติในการร่างรัฐธรรมนูญดีกว่านักรับแต่งตั้ง), งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ฯลฯ

อันที่จริง ในการ "ปฏิรูป" ใครจะเสนออะไรที่ไร้เดียงสาหรือเห็นแก่ตัวเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น หากมีบรรยากาศที่เปิดกว้าง ปราศจากการไฮแจ๊ค ไม่ว่าจะเป็นไฮแจ๊คทำเนียบ หรือไฮแจ๊ครัฐสภา ดังเช่นข้อเสนอปฏิรูปการเมืองของฝ่ายพันธมิตร หากเป็นข้อเสนอในบรรยากาศปกติธรรมดา สังคมไม่ถูกบังคับขู่เข็ญ ก็จะถูกตีตกไปในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีใครใส่ใจจริงจังอีกเลย

3/ ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการจำกัดการ "ปฏิรูป" ให้เหลือเพียงการ "ปฏิรูปการเมือง" เพราะไม่มีการ "ปฏิรูปการเมือง" ใดๆ จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ หากไม่คิดว่า "การเมือง" เป็นเพียงมิติเดียวของสังคม ยังมีส่วนของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่กำกับความเป็นไปของการเมืองอยู่เสมอ และผมขอเสนอให้เรียกว่า "ปฏิรูปสังคม" เราควรคิดถึงการปฏิรูปที่ดิน, การปฏิรูประบบภาษี, การปฏิรูปการศึกษา, การปฏิรูประบอบปกครอง ฯลฯ ไปพร้อมกัน เพราะความล้มเหลวของการเมืองไทยหลายประการ มาจากเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และสังคม ไม่ใช่เรื่องการเมืองและนักการเมืองล้วนๆ

ฝ่ายพันธมิตรกำลังเผชิญการท้าทายยิ่งกว่าหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียอีก หากฝ่ายพันธมิตรเชื่อจริงในเรื่อง "การเมืองใหม่" หรือการ "ปฏิรูป" เพราะฝ่ายพันธมิตรเป็นฝ่ายหนึ่ง ซ้ำเป็นฝ่ายสำคัญด้วย ที่จะนำเอาบรรยากาศปกติกลับคืนมาแก่สังคม การสนับสนุนของประชาชนส่วนที่ได้รับอยู่เวลานี้ ต้องแสวงหาและรักษาไว้ด้วยมาตรการอื่น ไม่ใช่การประท้วงด้วยท่าที "สงครามครั้งสุดท้าย" เพียงอย่างเดียว เพราะท่าทีนี้ไม่ใช่การเปิดกว้างแก่การ "ปฏิรูป" แต่เป็นการประกาศคำสั่งเด็ดขาดเท่านั้น

พันธมิตรมีความกล้าที่จะยุติการประท้วงด้วยท่าทีนี้หรือไม่ แน่นอนว่าฝ่ายแกนนำต้องเผชิญกับคดีตามกระบวนการยุติธรรม ท่านเหล่านั้นล้วนอ้างว่าไม่ได้ทำผิด และอ้างความเสียสละกล้าหาญมาโดยตลอด ถึงเวลาที่ท่านต้องพิสูจน์คำพูดด้วยการกระทำเสียที

นอกจากนี้ การกลับคืนสู่ภาวะปกติ ย่อมหมายถึงการ "รณรงค์" ในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ "สงครามครั้งสุดท้าย" ด้วย เช่นการอภิปรายโต้แย้งกันบนเวทีที่ทุกความเห็นไม่ถูกคุกคาม คำถามคือท่านเหล่านั้นมี "กึ๋น" จะทำได้หรือไม่ หรือเหลือ "กึ๋น" ที่จะทำได้หรือไม่

หากฝ่ายพันธมิตรไม่อาจทำได้ทั้งสองอย่างนี้ การ "ปฏิรูป" ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นตามแนวทางที่ฝ่ายแกนนำเป็นผู้เสนอ สิ่งที่น่าเสียดายไม่ใช่ข้อเสนอของแกนนำ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแรงหนุนที่ผู้คนจำนวนมากให้แก่พันธมิตร ไม่ได้ถูกแปรไปใช้ในทางที่จะนำประเทศให้หลุดออกจาก "ระบอบทักษิณ" จริง แม้คนที่ชื่อทักษิณอาจไม่มีทางกลับมาสู่การเมืองไทยตลอดไปก็ตาม ("ระบอบทักษิณ" อาจมีนายกฯชื่อ สมชาย, ชวน, อภิสิทธิ์, สุรพงษ์, จำลอง, สนธิ, หรือสุรยุทธ์, อนุพงษ์ ฯลฯ ก็ได้)

และเมื่อมองสภาพกว้างกว่าฝ่ายพันธมิตรก็เป็นไปได้ด้วยว่า ไม่มีแรงหนุน "การปฏิรูปสังคม" อย่างจริงจังในสังคมไทยในช่วงนี้ ซึ่งแปลว่าเราต้องเผชิญการเมืองน้ำเน่าเช่นนี้ต่อไป จนกว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงเสียก่อน สังคมไทยโดยรวมจึงจะเห็นความจำเป็น

เวลาที่ต้องเสียไปนี้ก็ตาม ความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งน่าเสียดายทั้งนั้น"

ที่มา
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01220951&sectionid=0130&day=2008-09-22

อ.นิธิต้องการจะเสนอแนวคิดของการปฏิรูปสังคม ให้ข้อเสนอแนะแก่ทุกฝ่ายๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ประเทศชาติได้ประโยชน์ และเห็นทางออกของปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ แต่แกนนำพันธมิตรท่านนั้นไม่เข้าใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบทความนี้ดูเหมือนจะเสียดสีแนวทางพันธมิตร (ไม่เห็นด้วย = ศัตรูของพันธมิตร) หรือคงเกรงว่ามวลชนจะลดการสนับสนุนพันธมิตร หรือจะเป็นด้วย"กึ๋น"ของแกนนำท่านนั้นเองก็ไม่อาจทราบได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือในแวดวงคนมีปัญญา ถ้าจะให้วิจารณ์ความคิดเห็น บทความหรือผลงานของใคร เขาก็จะวิจารณ์ตัวเนื้องานเป็นหลัก โดยใช้เหตุผลมาถกเถียงกัน ส่วนการวิจารณ์ตัวเจ้าของผลงานนั้นเป็นเรื่องรอง ซึ่งก็ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลงานนั้นๆ ไม่ใช่วิจารณ์โดยใช้อารมณ์และเน้นการโจมตีเรื่องส่วนตัว

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

วิธีการใช้ Clamwin Antivirus (จากประสบการณ์การใช้งานกว่า 2เดือน)

Clamwin Antivirus ที่เป็นเวอร์ชั่น portable (สั่งให้ทำงานจากแฮนดี้ไดร์ฟได้) อาจจะไม่มีความสามารถบางอย่างเทียบเท่ากับเวอร์ชั่นเต็มที่ติดตั้งลงคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมว่าอาจไม่ค่อยจำเป็นนัก ขอแค่ให้มันสแกนไวรัสและกำจัดไวรัสได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว เพราะอย่างที่เล่าไปในตอนที่แล้วว่า Clamwin Portable เหมาะกับการเอาไปใช้งานข้างนอก เป็นด่านแรกป้องกันไม่ให้มีไวรัสหลงเหลืออยู่ในแฮนดี้ไดร์ฟเรา ไม่ให้แฮนดี้ไดร์ฟกลายเป็นพาหะนำไวรัสไปติดคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆต่อ สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวผมว่าใช้โปรแกรมกำจัดไวรัสอื่นที่มีความสามารถเต็มที่จะดีกว่า (ย้ำว่า Clamwin ไม่ตรวจจับไวรัสให้อัตโนมัตินะครับ) แต่จะให้บอกว่าโปรแกรมไหนดีที่สุดคงตัดสินไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้คอมของแต่ละคน
เรามาดูวิธีการใช้ Clamwin กันครับ
เริ่มแรกก็ดาวน์โหลดไฟล์จาก http://portableapps.com/apps/utilities/clamwin_portable

จากนั้นก็เปิดไฟล์ขึ้นมา ทำการติดตั้งโปรแกรม กด Next แล้วเลือกว่าจะให้ติดตั้งลงที่ไหน จะในคอมพิวเตอร์หรือแฮนดี้ไดร์ฟก็ได้ เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วเราก็จะได้โฟลเดอร์ชื่อว่า ClamwinPortable โฟลเดอร์นี้เราสามารถจะเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ ใส่แฮนดี้ไดร์ฟหรือใส่ใน CDก็ได้ เรียกว่าเป็นโปรแกรมที่ Standalone คืออยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง แค่มีโฟลเดอร์นี้อันเดียวก็สามารถใช้งานเป็นโปรแกรมกำจัดไวรัสได้สมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยอย่างอื่นในการทำงาน

เปิดโปรแกรมขึ้นมาโดยดับเบิ้ลคลิกที่ไอคอนตัวสีฟ้าๆแบบข้างล่างนี้ ซึ่งในครั้งแรกที่เปิด โปรแกรมจะให้เราดาวน์โหลดฐานข้อมูลไวรัสมาก่อน กด Yes โปรแกรมจะดาวน์โหลดฐานข้อมูลมาให้อัตโนมัติ (รวมแล้วจะมีขนาดประมาณ 25 เมกกะไบต์)

คำสั่งใช้งานหลักที่ใช้บ่อยๆ จะมีอยู่ 4 อย่าง จะเห็นเป็น 4 รูปอยู่ด้านบน

เรียงจากซ้ายไปขวา

1. Display Preference window จะใช้ในการตั้งค่าต่างๆของโปรแกรม อันที่จำเป็นต้องปรับก็เห็นมีอยู่อันเดียวคือ ในหัวข้อ general ส่วนที่ให้ตั้งว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อตรวจพบไวรัสซึ่งในตอนแรกจะกำหนดไว้ว่าให้รายงานเฉยๆเมื่อพบไวรัส แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้กำจัดไวรัสนั้นเลย หรือจะย้ายไวรัสแยกไปเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Quarantine แล้วค่อยกำจัดทีหลังก็ได้ (เผื่อว่าเป็นไฟล์ของเราเองแล้วโปรแกรมคิดว่ามันเป็นไวรัส) ส่วนคำสั่งอื่นๆนั้นถ้าสนใจก็เข้าไปอ่านได้ในคู่มือการใช้ โดยเข้าไปในโฟลเดอร์ App >> Clamwin >> Bin >> manual_en

2. Start Internet Updateใช้ในการอัพเดตฐานข้อมูลไวรัส นอกจากนี้เวลาเปิดโปรแกรมก็จะมีการเตือนให้อัพเดตฐานข้อมูลถ้าหากไม่ได้อัพเดตนานเกิน 5 วันด้วย

3. Scan Computer memory for virus แนะนำว่าควรสแกนความจำของคอมพิวเตอร์เสมอก่อนที่จะไปสแกนไฟล์ โฟลเดอร์หรือไดร์ฟต่างๆ เพราะเคยเจอมาแล้วว่าพอสแกนแฮนดี้ไดร์ฟของตัวเองเสร็จ ปรากฏว่ามันก็กลับมาติดไวรัสใหม่อีก คิดว่าน่าจะเป็นเพราะไวรัสมันยังทำงานอยู่ใน memory ของคอมพิวเตอร์ อันนี้อย่าเพิ่งสับสนนะครับว่ามันต่างกับหน่วยความจำในไดร์ฟ C,D ของคอมพิวเตอร์ยังไง คือคำสั่งนี้จะใช้สแกน memory ของคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น เช่น ไฟล์ของ Window พวก system 32 ที่กำลังถูกใช้งานอยู่ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆที่เราเปิดอยู่ด้วย(ถ้าเทียบกับคน drive C,D ก็เหมือนกับความทรงจำที่เก็บเอาไว้เฉยๆ แต่ถ้ามีการเรียกมาใช้ก็เหมือนกับตอนที่เรากำลังคิดนั่นคิดนี่ เอามาประมวลผลกัน)

4. Scan Selected file for viruses ใช้สแกนไฟล์ โฟลเดอร์หรือไดร์ฟที่เลือก วิธีการเลือกก็เพียงแค่คลิกในกล่อง 4 เหลี่ยมข้างล่างที่มีหลายๆไดร์ฟให้เลือกนั่นละครับ ดับเบิ้ลคลิกเข้าไปเพื่อเลือกโฟลเดอร์หรือไฟล์ที่ต้องการแล้วกดที่คำสั่ง scan

ตัวอย่างหลังจากที่ scan เสร็จแล้ว

หวังว่าคงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากทดลองใช้โปรแกรมกำจัดไวรัส Clamwin นะครับ ที่เหลือก็ลองศึกษากันดู ถ้ามีคำถามอะไรก็โพสต์ถามกันได้ครับ

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

เล่นเกมการเมือง

เคยได้ยินเป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่บอกว่า "คนนั้นจะเล่นการเมือง" หรือ "มันเป็นเกมการเมืองที่อาจจะมีการขัดแข้งขัดขาแย่งชิงอำนาจกันบ้าง" คนไทยเราใช้คำนี้กันมาตั้งแต่เมื่อไรและมีที่มาอย่างไร ผมก็ไม่ทราบ อาจจะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล การเมืองไทยทุกวันนี้ถึงได้ล้าหลังกันเหลือเกิน ในเมื่อมันเป็นเกม หรือเป็นอะไรที่เล่นได้ ก็ชวนให้นึกถึงการละเล่นอย่างอื่น อย่างเล่นหวย เล่นหุ้น เล่นไพ่ เล่นการพนันที่ต้องมีการลงทุน เล่นเพื่อความสนุกสนาน ระทึกใจ และเป้าหมายสุดท้ายคือกอบโกยกำไร แสวงหาผลประโยชน์เพื่อความมั่งคั่งของตัวเองและพวกพ้อง นักการเมืองไทยก็คงได้รับอิทธิพลมาจากการละเล่นเหล่านี้ เอามาใช้กับการเล่นการเมืองด้วย มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นกลุ่ม ก๊ก มุ้ง ต่อรองกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เวลาจะจัดตั้งรัฐบาล จะเห็นแต่ละพรรคขอโควต้ารัฐมนตรี รองรัฐมนตรี กันเท่านั้นเท่านี้มั่วซั่วกันไปหมด พอได้ตำแหน่งมาก็เอามาแบ่งกันให้แต่ละมุ้งแต่ละก๊กกันสนุกสนาน (หรือหน้าดำคร่ำเครียดก็ไม่ทราบ เพราะแต่ละคนก็อยากได้อำนาจกันทั้งนั้น) แล้วตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงยังมีคุณค่าไม่เท่ากัน มีแบ่งเป็นกระทรวงใหญ่กระทรวงน้อย นัยยะก็คือกระทรวงใหญ่เป็นกระทรวงที่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้มากนั่นเอง อย่างกระทรวงคมนาคม ที่มีงบประมาณสร้างถนน สนามบินอะไรพวกนั้น เลยมีคำพูดที่เค้าบอกว่านักการเมืองชอบกินหินกินปูนกินทราย กินมากไปก็กลายเป็นกินปูนร้อนท้องซะนั่น จริงๆแล้วการเมืองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือปากท้องความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ การจัดสรรคนมาเป็นรัฐมนตรีแต่ละตำแหน่งก็ควรจะเลือกเอาคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับงานมากกว่า แต่นี่ก็ลงหนังสือพิมพ์กันหน้าตาเฉยทุกยุคทุกสมัย เหมือนเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน ถ้าเรายังเห็นว่าการที่นักการเมืองกำลัง"เล่น"การเมืองอยู่อย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา คนรุ่นต่อไปก็เอาตามเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเมื่อไรเมืองไทยจะพัฒนา ที่จริงแล้วเมืองไทยเราได้ประชาธิปไตยมาแบบรวบรัด คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงหลักการประชาธิปไตยชัดเจน ก็มีคณะราษฏร์มาเปลี่ยนแปลงการปกครองซะแล้ว เหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกก็โดนเด็ดมากิน รสชาติมันก็ไม่หอมหวานเท่าผลไม้ที่สุกเต็มที่ กลายเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการปฏิวัติโดยพวกชนชั้นขุนนางแค่กลุ่มหนึ่ง (ไม่ได้มาจากความต้องการของคนทั้งประเทศ) ทุกวันนี้ประชาธิปไตยเลยกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ที่ใช้อิทธิพลซื้อเสียงหาเสียงเพื่อเข้าไปนั่งในสภา ครองเก้าอี้รัฐมนตรีที่ใฝ่ฝัน มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มาจากการเรียกร้องโดยประชาชนทั้งประเทศ คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดสำนึกของประชาธิปไตยที่แท้จริง การเมืองไทยวันนี้เลยพิกลพิการอย่างที่เห็น ต้องยอมรับว่าการเมืองใหม่ที่พันธมิตรยกมาปราศรัยในที่ชุมนุม ดูเข้าท่าที่สุดแล้วนับตั้งแต่มีการชุมนุมมา (เข้าท่ากว่าการบอกว่าตนเองยึดหลักสันติอหิงสา เป็นเทพบุตรเทพธิดา แต่ก็ยังร้องเพลงให้กระทืบคนในรัฐบาลและในระบอบทักษิณ) ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่าการเมืองใหม่นี้จะมีรูปโฉมเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ฟังๆมาก็รู้สึกชอบนะ เคยฟังมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนที่คุณสนธิมาพูด ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นความหวังของสังคมไทยได้ อันนี้ก็คอยดูและใช้วิจารณญาณศึกษาการเมืองใหม่ที่กำลังจะออกมานะครับ แต่ผมว่าที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการเมืองไทยคือควรจะประชาสัมพันธ์ ให้การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยกับคนไทยทั้งประเทศให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดจิตสำนึกขึ้นในตัว ไม่ใช่ว่าแค่ให้เด็กนักเรียนตั้งพรรคการเมืองในโรงเรียน หาเสียงแถลงนโยบาย และมีการเลือกตั้งเลือกประธานนักเรียนกันแค่นั้นจบ แบบนั้นมันตื้นเกินไป

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

โปรแกรมกำจัดไวรัสพกพาได้ Clamwin Antivirus

เคยมั้ยเวลาที่ต้องไปใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะอย่างตามศูนย์คอมพิวเตอร์ในโรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน ร้านคอมพิวเตอร์ หรือไปยืมใช้ของเพื่อน แล้วปรากฏว่าไม่มีการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้เลย ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะมีไวรัสแฝงเร้นอยู่ในเครื่องคอมนั้นและมีโอกาสที่จะติดมาได้ ถ้าเพียงแต่เราเอาแฮนดี้ไดร์ฟ (Handy drive) หรือแฟลชไดร์ฟ (USB Flash drive) ไปเสียบเครื่องคอมก็อาจจะติดไวรัสมาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งตอนนี้ผมก็เจอปัญหาเช่นนี้อยู่เป็นประจำ ขนาดศูนย์คอมในมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเอาไว้แล้วยังให้ลงโปรแกรมเองไม่ได้อีก อย่างนี้ไวรัสมันก็แพร่ระบาดไปทั่วสิครับ เดี๋ยวก็มีคนจิ้มทีนึง แล้วเอาไปจิ้มอีกเครื่อง มันก็ติดกันไปหมด กลายเป็นแหล่งสะสมไวรัสชั้นเยี่ยม ในเมื่อสถานการณ์มันเป็นเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตอย่างผมที่จำเป็นต้องอาศัยพึ่งพิงศูนย์คอมแห่งนี้จึงต้องปรับตัวตาม เลยลองไปค้นหาโปรแกรมที่สามารถพกพาใส่แฮนดี้ไดร์ฟได้ และสั่งให้มันทำงานจากในนั้นได้เลย ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมลงเครื่อง (แต่ก็สามารถก๊อปปี้ลงเครื่องคอมแล้วค่อยสั่งใช้งานก็ได้) โปรแกรมแนวนี้กำลังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร เรียกกันว่าเป็น Portable program ซึ่งผมไปเจอโปรแกรมกำจัดไวรัสตัวหนึ่งที่เป็นโปรแกรมฟรี มีทั้งแบบติดตั้งลงเครื่องได้ และไม่ต้องติดตั้ง ชื่อว่า Clamwin (แคลมวิน) แถมเป็น Opensource ด้วย นั่นคือถ้าใครมีความสามารถทางด้านภาษาคอมพิวเตอร์ก็สามารถจะนำไปพัฒนาต่อได้

นี่คือเว็บหลักอย่างเป็นทางการครับ
http://www.clamwin.com/

ถ้าหากต้องการ Clamwin ที่พกพาได้
ก็มีการอธิบายวิธีการทำที่นี่ http://www.clamwin.com/content/view/118/89/
หรือจะไปดาวน์โหลดได้ฟรีจาก http://portableapps.com/apps/utilities/clamwin_portable

โปรแกรม Clamwin นี้ตัวเล็กมากดาวน์โหลดมาตอนแรกแค่ 6 MB แต่ต้องดาวน์โหลดฐานข้อมูลไวรัสอีกซึ่งใช้เวลาไม่นาน เบ็ดเสร็จก็ใช้พื้นที่ประมาณ 25 MB ตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น 0.94 แล้ว จากเท่าที่ใช้มาก็ถือว่ามีประสิทธิภาพดีพอใช้ได้ แต่ข้อเสียคือต้องขอบอกว่ามันเป็นโปรแกรมกำจัดไวรัส แต่ไม่ได้ป้องกันไวรัสนะครับ เพราะว่าโปรแกรมนี้จะไม่สแกนไวรัสแบบอัตโนมัติ คือพอไวรัสเข้ามาโจมตีแฮนดี้ไดรฟเรา โปรแกรมจะไม่ได้ป้องกัน ไม่ตรวจจับให้ เราต้องมาสั่งสแกนด้วยตัวเอง Clamwin ถึงจะตรวจเจอไวรัสได้ ซึ่งถึงแม้ว่า Clamwin อาจจะมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าโปรแกรมอื่นๆที่ติดตั้งลงคอมพิวเตอร์และสามารถตรวจจับไวรัสได้อัตโนมัติ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังชอบโปรแกรมนี้อยู่เพราะอย่างน้อยก็ยังพออุ่นใจได้ว่า ในบางสถานการณ์เราก็ยังมีอาวุธใช้สู้กับไวรัสได้บ้าง เหมือนมีทหารเอกคู่ใจพกพาใส่ไว้ในแฟลชไดรฟไปไหนต่อไหนได้สะดวก

Clamwin จะเน้นการกำจัดไวรัสและสปายแวร์ (Spyware) และเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ก็มีความสามารถในการตรวจเจอพวกมัลแวร์ (Malware) ได้มากขึ้นด้วย แต่ก็เป็นธรรมดาของทุกสรรพสิ่งในโลกที่ไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมไปทุกอย่าง เช่นกันกับโปรแกรมกำจัดไวรัสที่ไม่มีโปรแกรมไหนจะสามารถตรวจเจอและกำจัดไวรัสได้ทุกชนิดในโลก ผมก็พบว่า Clamwin ไม่สามารถกำจัดไวรัสบางตัวได้อย่างเช่น Sality ดังนั้นการระวังป้องกันด้วยตัวเองจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด (ดีกว่าหวังพึ่งโปรแกรมอย่างเดียว เพราะถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะติดไวรัสอยู่แล้ว ถึงเสียเงินซื้อโปรแกรมดีๆก็ป้องกันไวรัสได้ไม่หมด) เช่น ถ้าหากเห็นว่าคอมพิวเตอร์ที่ไหนไม่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสก็ควรจะหลีกเลี่ยงการเสียบแฮนดี้ไดรฟโดยไม่จำเป็น และไม่ควรเข้าเว็บไซต์หรือดาวน์โหลดอะไรที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจอย่างเช่นเว็บโป๊ หนังโป๊เพราะอาจได้ไวรัสแถมมาด้วย จะว่าไปแฮนดี้ไดร์ฟก็ทำให้เราสำส่อนกับคอมพิวเตอร์กันมากขึ้นนะ และเดี๋ยวนี้ก็มีไวรัสที่ติดต่อกันทางแฮนดี้ไดรฟกันมากขึ้นด้วย การติดต่อแพร่ระบาดก็เลยง่ายกันไปใหญ่ แค่เอาไปเสียบกับเครื่องคอมแปลกหน้าก็ติดไวรัสซะแล้ว เลยไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมโรคเอดส์อื่นๆถึงเป็นปัญหาใหญ่ในยุคสมัยนี้ เพราะการสำส่อนทางเพศนั่นเอง แค่มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าก็มีโอกาสติดเชื้อมาแล้ว และกว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลานาน ยังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อไปแล้ว ก็เอาไปติดคนอื่นได้อีกรวมทั้งเมียตัวเองด้วย ยังดีที่โรคพวกนี้พอจะป้องกันการติดต่อได้ด้วยการใส่ถุงยางอนามัย แต่เจ้าแฟลชไดร์ฟนี่สิ ไม่เห็นมีผู้ผลิตเจ้าไหนทำถุงยางออกมาขายมั่ง เลยติดกันไปทั่วมั่วไปหมด แต่ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส คอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้วยังพอแก้ได้ ถึงแก้ไม่ได้ก็ล้างเครื่องลงโปรแกรมใหม่ เสียข้อมูลสำคัญไปบ้าง ไว้เป็นบทเรียนของการสำส่อนและไม่รู้จักป้องกันตัวเอง แต่ชีวิตคนถ้าได้ติดเชื้อเอดส์ไปแล้ว ถึงจะยังพอมีทางรักษาให้อายุยืนยาวขึ้นได้ แต่เชื้อยังคงอยู่ตราบจนวันตาย รอฉวยโอกาสโจมตีเมื่อร่างกายอ่อนแอ แถมมีเชื้อโรคอื่นมาติดแทรกซ้อนเข้าไปอีก มีแต่ทุกข์ทรมาน ดังนั้นก่อนจะไปจิ้มไปเสียบกับใครก็พึงระลึกไว้ว่ามันไม่เหมือนกับเอาแฟลชไดร์ฟไปเสียบคอมพิวเตอร์ ที่ถ้าเสียบคราวนี้ติดเอดส์มา ก็ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับมันไปจนตาย จะอยู่แบบทุกข์หรือสุขก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละคน แต่จะหาโอกาสแก้ตัวกำจัดเชื้อเอดส์ออกจากตัวคงทำได้ยาก (ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถึงจะติดไวรัสร้ายแรงขนาดไหน ก็ยังสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม)

สรุปข้อคิดประจำวันนี้ "คิดให้ดีก่อนเสียบ"
ไว้ตอนต่อไปจะเขียนเกี่ยวกับวิธีการใช้งานโปรแกรม Clamwin เท่าที่เคยมีประสบการณ์มานะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

อหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร

ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นจนได้ กับอหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร ตอนแรกก็ยังพอรับได้อยู่นะ กับการไปด่าผู้นำและผองพวก (ที่สมควรจะสำนึกตนได้แล้ว) หรือหนักขึ้นก็ขัดขวางปิดล้อม สร้างความลำบาก ไม่สะดวกกายสบายใจแก่ผู้ผ่านไปผ่านมา หนักขึ้นไปอีกก็ไปพังประตูรั้วสถานที่ราชการ (เสียดายประตูอ่ะ แพงนะนั่น) และไปบุกยึดสถานที่ราชการกับ NBT สุดท้าย เมื่อ 2 ก.ย. ก็เกิดเหตุสลดใจ เมื่อนปช. มาปะทะกับพันธมิตร มีผู้เสียชีวิต 1 ราย กับบาดเจ็บอีกมากมาย เคยสงสัยกันมั้ยว่า นี่หรือคืออหิงสา หรือจะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ไฉไลกว่าเก่า (รึเปล่า) ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย (ที่บอกว่าไทยนี้รักสงบ แต่ก็รบไม่ขาด) ซึ่งอาจมีผิวหนังบริเวณหน้า หนาเป็นพิเศษยิ่งกว่าชนชาติอินเดียหรืออังกฤษ กลายมาเป็น "อหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร" ไป

มาดูกันถ้าผู้นำการชุมนุม ยึดมั่นในหลักอหิงสาแบบท่านมหาตมะ คานธี นักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดีย ควรจะเป็นยังไง

... รักเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม

... ไม่ใช้ความรุนแรงทั้งทางกาย และวาจา การด่าฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจเขา จะยิ่งยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงมาตอบโต้กันมากขึ้น

... ถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี หรือเจ้าที่รัฐมาปราบปราม จะไม่ตอบโต้ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่หลบ ไม่เอาอะไรป้องกันทั้งสิ้น เพราะจะยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามนึกว่าเราจะตอบโต้กลับ จะยิ่งทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นในจิตใจ และเขาจะยิ่งทำร้ายฝ่ายเราหนักมากขึ้น วิธีการอหิงสาก็คือ ยอมให้ทุบตี ทำร้ายตามใจชอบ ไม่ตอบโต้และระวังอย่าให้คนที่มาตีเราได้รับบาดเจ็บด้วย (ถ้าสงสัย ให้ดูข้อแรก) ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่มาทำรุนแรงกับเรา จะค่อยๆสงบลงเอง เพราะเขาจะสำนึกได้ถึงมนุษยธรรมและความรักที่มนุษย์พึงมีให้กัน ลองคิดดูสิ มีคนไหนบ้าง (ถ้าไม่ได้เลวมาแต่กำเนิด) ที่จะทำร้ายคนอื่นได้ตลอดถ้าผู้ถูกทำร้ายไม่ตอบโต้เลย ความรุนแรงของการจลาจลมันเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ใช้ความรุนแรงเข้าหากัน มันตีมา 1 ที เราก็ตีกลับไป 2 ที ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันก็จะยิ่งรุนแรงหนักขึ้นไปอีก และสุดท้ายก็จะยุติลงด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งหยุดตอบโต้ (เพราะสลบคาตีน หรือเสียชีวิตไปเรียบร้อย)

มีตัวอย่างสมัยก่อน ที่ผู้ชุมนุมชาวอินเดีย ถูกตำรวจเข้าปราบปราม ถูกทุบตีจนล้มลง แต่เขาก็ลุกขึ้นมาใหม่โดยไม่ตอบโต้ตำรวจเลย ก็ถูกตีไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมตอบโต้ สุดท้ายตำรวจเกิดความละอายใจ หยุดการทำร้ายประชาชน

... อารยะขัดขืน สามารถทำได้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักการอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าตัวบทกฎหมาย (เช่นคุณธรรมและประชาธิปไตย) ถึงกับต้องฝ่าฝืนกฎหมายเลยทีเดียว แต่ ย้ำว่าแต่ ต้องยอมรับความผิดตามกฏหมายแต่โดยดีด้วย ไม่ใช่ว่าอารยะขัดขืนแล้วหนี, ดื้อแพ่งไม่สนใจกฎ หรือให้คนมาล้อมเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อไม่ให้ตำรวจมาจับ

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะต่อสู้แบบอหิงสาได้ ต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นเกรงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจถึงกับทำให้ได้ไปเสวยผลบุญแบบทันตาเห็น ซึ่งก็คือผลบุญจากการรักและหวังดีกับเพื่อนมนุษย์โดยช่วยให้ฝ่ายที่มาทำร้าย ได้ตาสว่างและหยุดใช้ความรุนแรงนั่นเอง ซึ่งที่จริงแล้วการใช้ความรุนแรงนี่กลับเป็นวิธีการของคนขี้ขลาดตาขาว ไม่ได้กล้าหาญน่าชื่นชมอะไรเลย เพราะเกิดความกลัว กลัวตัวเองจะเจ็บ กลัวจะพ่ายแพ้ กลัวเสียหน้า กลัวตาย จึงต้องใช้ความรุนแรงทำกับคนอื่นก่อน

ดังนั้นการต่อสู้กู้ชาติของพันธมิตร ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คงจะเป็นอหิงสาคนละเวอร์ชั่นกับของท่านมหาตมะ คานธี เป็นอหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร แบบว่าอหิงสาเป็นบางสภาวะอ่ะนะ สามารถใช้ความรุนแรงได้ตามความจำเป็น และใช้ความรุนแรงได้ระดับพอหอมปากหอมคอ เช่น การด่าโจมตีฝ่ายรัฐบาล แถมบางทีก็ลามปามไปถึงบรรดานักวิชาการและคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีพันธมิตร (ซึ่งผมว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเอาซะเลย ใครพูดอะไรที่เข้าข้างพันธมิตรก็ชื่นชม แต่พอมีใครไม่เห็นด้วย ก็ด่ากราดสาดเสียเทเสีย เหมือนไม่ใช่ปัญญาชนคนมีความรู้มาพูด ที่จริงประชาธิปไตยควรจะยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างอ่ะนะ ไม่ใช่ว่าความคิดของตัวเองจะถูกต้อง 100% อยู่ผู้เดียว) นอกจากการใช้ความรุนแรงทางวาจาแล้ว บางทีก็อาจมีการออกไปขยับแข้งขยับขากันบ้าง อย่างเช่น ยุทธการดาวกระจาย ไปปิดล้อมสถานที่ราชการ ยึดสถานี NBT เหตุการณ์การยึดทำเนียบรัฐบาล และวันที่ 2 ก.ย. ที่มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ 1 ราย ซึ่งยังหาตัวผู้ร้ายไม่เจอ และฝ่ายพันธมิตรก็พยายามไม่พูดถึงเลยว่าฝ่ายพันธมิตรนั่นแหละที่ทุบตีอีกฝ่ายถึงตาย หรือคนตีอาจจะเป็นมือที่ 3 ที่มาก่อกวนสวมรอยเป็นพันธมิตรก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งมันยากมากเลยนะการตีคนให้ตายเนี่ยเมื่อเทียบกับการใช้ปืนยิง แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังคงยกประเด็นขึ้นมาโหมกระหน่ำโจมตีรัฐบาลว่า ม็อบ นปช.ที่ยกมาคืนนั้น เป็นม็อบจัดตั้งโดยคนใน ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่เท่าที่ดูหนังสือพิมพ์ ก็พอจะมีมูลอยู่บ้าง แถมตำรวจที่ตั้งด่านในคืนนั้นตั้ง 3 จุด ก็ยังปล่อยให้ม็อบพวกนี้เคลื่อนที่มาใกล้พันธมิตรได้อย่างง่ายดาย ดูรูปแล้วแทบไม่อยากเชื่อ ตำรวจยืนเรียงแถวปล่อยให้ นปช. เดินผ่านง่ายๆ เลย ถ้าเป็นการจัดตั้งขึ้นมาจริงๆ คนที่คิดแผนเอาม็อบชนม็อบเพื่อฉวยโอกาสให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้นี่ ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คิดแผนที่ผิดมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้ โดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนเดินดิน แต่อย่างว่าล่ะนะถึงจะเป็นม็อบจัดตั้งยกมาหาเรื่อง ถ้ายึดมั่นในหลักอหิงสาจริง ไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ เหตุการณ์ก็คงไม่ลุกลามบานปลายจนมีคนเสียชีวิตหรอก (แต่คิดในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายอหิงสาก็อาจจะได้พลีชีพซะเองก็ได้ ก็อย่างที่บอกไปล่ะ ว่าถ้าอยากสู้ด้วยวิถีอหิงสาจริง ก็ต้องกล้ายอมสละชีวิตอยู่แล้ว)

ว่าแต่การยึดหลักอหิงสาแล้วต้องมาพลีชีพนี่มันดียังไง เดี๋ยวคนไทยจะหาว่ามายึดหลักการอะไรโง่ๆ ยอมให้คนอื่นทำร้ายโดยง่าย ไม่สมศักดิ์ศรีพี่ไทยเลย ที่จริงเป็นวิธีการที่ลึกซึ้งเฉียบคมมาก เพราะการที่มีภาพออกไปว่าฝ่ายโจมตีใช้ความรุนแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรเลยเนี่ย จะยิ่งเพิ่มความชอบธรรมและปลุกระดมมวลชนให้มาเข้าร่วมกันมากขึ้นได้อย่างดีเลย คนทั่วๆไปก็จะเกิดความเห็นใจและสนับสนุนฝ่ายอหิงสาเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ แต่การชูธงบอกว่าเป็นกองทัพธรรมและยึดหลักอหิงสาของพันธมิตรนั้น มันช่วยดึงมวลชนไม่ได้มากหรอกนะ (ถึงจะมีคนไปร่วมเป็นพันเป็นหมื่นก็เถอะ แต่ยังมีคนอีกเป็นแสนเป็นล้านที่ไม่ขอเข้าร่วมฝ่ายไหน ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยชอบพวกที่หลงชื่นชมตัวเองว่าดีเลิศกว่าใครอื่นเกินความเป็นจริง) ดังนั้นก็น่าจะเปลี่ยนสโลแกนไปเน้นว่าเป็นยามเฝ้าแผ่นดินหรือหมาเฝ้าบ้านก็น่าจะเหมาะสมกว่ากับแนวทางการต่อสู้ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เพราะถึงแม้เป้าหมายจะเป็น "ธรรม" แต่วิธีการที่ใช้นั้นมันก็มีทั้ง "ธรรม" และ "ไม่ธรรม" อ่ะนะ ปนเปกันไปเป็นสีเทาๆ คือเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่บ้าง แต่ก็มีความรักชาติ สำนึกบุญคุณแผ่นดินมากกว่านักการเมืองบางคน อย่างนี้ค่อยยอมรับได้หน่อย แล้วอย่างที่บอกผู้ปราศรัยบางท่านก็เอาแต่ปลุกขวัญกำลังใจผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตร มีคนเด่นคนดังคนดีท่านไหนพูดอะไรตรงใจพันธมิตร ก็ยกมาชื่นชมเสียยกใหญ่ แต่ถ้ามีใครไม่เห็นด้วยอะไรล่ะก็ ก็จะด่าเสียหายไปเลย ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงก็ควรยอมรับฟังและยกเอาเหตุผลมาพูดกันดีกว่า อย่ามัวแต่ห่วงว่าผู้ร่วมชุมนุมจะเอาใจออกห่าง เพราะไปฟังความคิดเห็นอื่นแล้วทำให้จิตใจไขว้เขวแล้วจะไม่มาชุมนุมอีก ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของทุกๆคนอยู่แล้วที่จะรับฟังข้อมูลจากหลายๆฝ่าย แล้วมาตรึกตรองกันเอาเอง ไม่ต้องให้ใครมาชี้นำ

เชื่อว่าถ้าพันธมิตรปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ใหม่ คงทำให้มีมวลชนอยากเข้าร่วมกันมากขึ้น เพราะคนที่เป็นกลางในตอนนี้เค้าก็คงจะเบื่อระอากับลมปากการยึดหลักอหิงสา (เวอร์ชั่นพันธมิตร) กันแล้ว แต่ก็เบื่อ (อาจถึงขั้นเกลียด) ใครบางคน ที่ตอนนี้พันธมิตรกำลังยืนด่าขับไล่อยู่ก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Let us complain less and give more! - กำลังใจให้คุณ

ใครที่กำลังท้อแท้กับชีวิต หมดอาลัยตายอยาก เบื่อ โศกเศร้า เหงา คิดว่าชีวิตตัวเองลำบากมาก ลองอ่าน Forward mail นี้ดู แล้วจะเห็นคุณค่าของชีวิต เมื่อรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ลำบากกว่าเราเยอะ และพวกเขาก็กำลังต่อสู้อยู่อย่างไม่ยอมแพ้ ...












If you think you are unhappy, look at them


If you think your salary is low, how about her?


If you think you don't have many friends...


When you feel like giving up, think of this man


If you think you suffer in life, do you suffer as much as he does?


If you complain about your transport system, how about them?

If your society is unfair to you, how about her?


Enjoy life how it is and as it comes

Things are worse for others and is a lot better for us

There are many things in your life that will catch your eye but only a few will catch your heart....pursue those...

This email needs to circulate forever...

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Beijing Welcomes You & You and Me - Olympics 2008

ชอบ MV 2 อันนี้มาก ดูกี่ครั้งก็ประทับใจ โอลิมปิกครั้งนี้จีนจัดได้อย่างยิ่งใหญ่และประทับใจสมกับที่ลงทุนลงแรงเตรียมงานมาอย่างดีจริงๆครับ

ก็หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพและความร่วมแรงร่วมใจของมนุษยชาติ เพื่อโลกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราทุกคน ไม่ว่าจะชนชาติไหน อยู่ในดินแดนใด ประเทศอะไร ก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น

"One World One Dream" เชื่อว่าทุกคนคงมีความฝันที่โลกใบนี้จะไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความขัดแย้ง หรือการแบ่งแยกชนชั้น อยากให้มีแต่สันติภาพและความรัก ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ประเทศที่เจริญแล้วช่วยพัฒนาและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประเทศที่ด้อยกว่า ซึ่งความฝันนี้ถึงจะเป็นไปได้ยากเพียงใดก็ตาม ก็ยังหวังว่ามันจะกลายเป็นจริงสักวันหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ขอให้มันเป็นไปได้ให้มากที่สุด และที่สำคัญความฝันนี้จะสำเร็จได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทุกๆคนที่จะช่วยกันสร้างมันขึ้นมา (ขอแค่อย่าต่างคนต่างฝัน ฝันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตนหรือพวกพ้อง โดยไม่สนใจความอดอยากยากไร้หรือความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมชาติและร่วมโลก )

เคยฟังนิทานเรื่องลุงโง่ย้ายภูเขามั้ยครับ หน้าบ้านลุงโง่มีภูเขาใหญ่ขวางอยู่ 2 ลูก เวลาแกจะไปไหนมาไหนก็ลำบาก วันหนึ่งแกก็เดินตรงไปที่ภูเขา แล้วเริ่มลงมือขุด ขุดและขุด เพื่อที่จะย้ายภูเขาออกไปจากหน้าบ้าน ทำไปไม่มีที่สิ้นสุด ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาเป็นเวลานานหลายปี ก็เริ่มมีลูกหลานมาช่วยกันขุดด้วย วันหนึ่งลุงฉลาดก็ถามลุงโง่ว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้นทั้งๆที่รู้อยู่ว่าไม่มีทางย้ายภูเขาได้สำเร็จหรอก ลุงโง่ก็ตอบกลับไปว่า

"ต้องย้ายสำเร็จสิ เพราะ ภูเขานับวันก็มีแต่จะกร่อนลงเรื่อยๆ แต่นับวันข้าก็มีลูกหลานที่จะมาช่วยกันขุดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงข้าจะตายไป แต่ก็ยังมีรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นโหลน และรุ่นต่อๆไป มาช่วยกัน สักวันหนึ่งก็จะต้องย้ายได้สำเร็จ"

ตอนจบ คือ เทวดาเกิดความสะเทือนใจกับคำพูดของลุงโง่ จึงลงมาช่วยยกภูเขา 2 ลูกนี้ออกไป.


Beijing Welcome You [MV] 2008 Olympic Game
Uploaded by d123am

You and Me - Beijing Olympic Song 2008

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับวิชา

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนังจีนและอ่านนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่เด็ก สิ่งหนึ่งที่หนังจีนมักจะกล่าวถึงคือเคล็ดลับวิชา ที่ตัวเอกของเรื่องมักจะได้รับการถ่ายทอดมาแบบไม่คาดคิดในบางสถานการณ์ เช่นไปพบจอมยุทธที่เร้นตัวอยู่ในถ้ำ หรืออาจจะได้มาตอนที่อาจารย์ถูกทำร้ายบาดเจ็บอาการหนักสาหัสปางตาย ซึ่งเจ้าเคล็ดลับวิชานี่ก็มักจะเป็นประโยคแค่ไม่กี่ประโยค หรือเป็นเพียงบทกลอนสั้นๆ ซึ่งผมก็สงสัยอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าเพียงแค่คำไม่กี่คำนี่มันจะทำให้คนเก่งขึ้นแบบข้ามขั้นได้อย่างไร

ความสงสัยนี้ก็ยังคงซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกมาจนถึงทุกวันนี้ และก็ให้รู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่กลับมานึกย้อนถึงความคิดสมัยอดีตอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความหมายและความสำคัญของเคล็ดลับวิชามากขึ้น หลังจากที่ได้ร่ำเรียนวิชาความรู้ต่างๆ และผ่านประสบการณ์มาจนถึงตอนนี้

แท้จริงแล้ว ทุกวิชาที่เราเรียนกันอยู่นั้น ต่างก็มีเคล็ดวิชา แก่นของวิชา หรือหัวใจของวิชานั้นๆ อยู่ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นวิชากำลังภายในเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ว่าเราจะจับมันกันได้รึเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ครูอาจารย์มักจะสอนคือ "เนื้อหาวิชา" ซึ่งก็ได้แต่ท่องจำและเข้าใจเนื้อความกันไปตามเรื่อง เมื่อไม่ได้นำมาใช้ก็จะค่อยๆหายไป จนลืมไปในที่สุด

แต่เคล็ดวิชาจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยง "เนื้อหาวิชา" ที่เรียนไปเข้าด้วยกัน และจับประเด็น หลักการหรือ concept ของมันไว้ หรือจะเรียกว่าเป็นความคิดรวบยอดก็ได้ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ามันไม่ใช่แค่ความเข้าใจ แต่มันคือการเข้าถึงหัวใจของวิชานั้นๆ รวมทั้งเข้าใจจุดมุ่งหมายของวิชาด้วย และเคล็ดวิชาก็อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงๆ ให้วิชาที่ได้เรียนไปนั้นค่อยๆซึมซับเข้าสมองและจิตใจ (รวมทั้งไขสันหลัง จนกลายเป็นรีเฟล็ก ตอบสนองได้อัตโนมัติเลย) ในระหว่างลงมือปฏิบัติ ก็จะต้องมีการทบทวนความรู้ที่มีอยู่เดิม ขวนขวายหาสิ่งที่ขาดหายไป ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา และนำความรู้ทั้งหมดที่มีมาประมวลเข้าด้วยกัน จนวันหนึ่งมันจะตกผลึกออกมาเป็นเคล็ดวิชาของคนๆนั้น

ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ว่าอ่ะนะ

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปว่าแค่รู้เคล็ดวิชาแล้วจะเก่งขึ้นทันตาเห็น เพราะเคล็ดวิชาจะทำงานได้ต้องอาศัยความรู้หรือเนื้อหาวิชาที่อาจารย์พร่ำสอนให้จำและเข้าใจด้วย เหมือนกับการทำอาหารที่บังเอิญไปได้ยินเทคนิคพิเศษมา แต่ไม่รู้วิธีการทำอาหารชนิดนั้น มันก็ไร้ค่า เคล็ดวิชาถ้าขาดความรู้พื้นฐาน มันก็มีค่าเป็นแค่วลีธรรมดาๆ ซึ่งนี่ก็ช่วยตอบคำถามที่ว่าทำไมพระเอกในหนังถึงเก่งขึ้นได้ ก็เพราะเขามีวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาเป็นพื้นฐานเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อรู้เคล็ดลับวิชาเข้าไปอีก ก็จะช่วยให้พระเอกนำวิชาฝีมือที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม

และถึงแม้เมื่อสูงอายุขึ้นหรือห่างเหินจากวิชานั้นนานเกินไป จนจำตัวความรู้หรือเนื้อหาวิชาไม่ได้
แต่ถ้าหากยังมีเคล็ดวิชาอยู่และยังมีความเข้าใจหลงเหลืออยู่บ้าง ก็น่าจะช่วยให้ฟื้นฟูความรู้ได้รวดเร็วขึ้น เมื่อไปค้นหามันอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยก็เคยเรียนมารอบหนึ่งแล้ว ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ

เคล็ดวิชาไม่จำเป็นจะต้องมาจากการเรียนวิชาทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นมาได้จากประสบการณ์การใช้ชีวิตด้วย

และเคล็ดวิชาจะทำงานได้ดีที่สุดถ้าหากมันมาจากการตกผลึกด้วยตนเอง

ดังนั้นทั้งตัวความรู้และเคล็ดวิชา จึงมีความสำคัญทั้งคู่ ขาดจากกันไม่ได้

จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เคล็ดวิชาอย่างหนึ่งที่ผมพบ คือการรักษาสมดุล

ซึ่งดูธรรมดามาก จริงมั้ยครับ ใครๆเค้าก็รู้กัน แต่ผมเชื่อว่าเคล็ดวิชานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายๆศาสตร์ หลายๆสาขาอาชีพ ไม่เชื่อลองเอาไปคิดประกอบกับบทเรียนที่ท่านกำลังเรียนอยู่ก็ได้ ทั้งบทเรียนในห้องเรียนและบทเรียนในชีวิตประจำวัน

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบทางสายกลาง พิณที่สายตึงไป ดีดไปสายก็ขาด พิณที่สายหย่อน เมื่อดีดเสียงก็ไม่ไพเราะ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมถ้าไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ในที่สุด

ที่บ้านเมืองเราวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะขาดความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสาม คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รวมทั้งสมดุลระหว่างรัฐบาล ประชาชน องค์กรเอกชนและองค์กรอิสระ


ที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอยู่ทุกวันนี้ เพราะเรามัวแต่พัฒนาสร้างโรงงาน สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ตัดต้นไม้ทิ้ง คิดว่านั่นเป็นความเจริญรุ่งเรือง มุ่งแต่จะให้ตัวเองสบาย มั่งคั่งร่ำรวย โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของธรรมชาติและระบบนิเวศ

ร่างกายคนเราก็ต้องมีสมดุลของมัน ถ้าหากเสียสมดุลไปจากเดิม ก็เกิดความเจ็บป่วยขึ้น การใช้ยาก็เพื่อไปปรับสมดุลให้เข้าสู่ระดับปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่ายาจะดีเสมอไป เพราะถ้าใช้ยามากเกินความจำเป็น มันก็เสียสมดุลไปอีก ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ

ในระบบเศรษฐกิจ เงินเฟ้อหรือเงินฝืดเกินมันก็ไม่ดี เศรษฐกิจฝืดเคืองก็ไม่ดี เศรษฐกิจขยายตัวมากเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน ค่าเงินบาทอ่อนไปหรือแข็งไปก็ไม่ดี แล้วจะทำยังไงให้ระบบเศรษฐกิจมีสมดุล ไม่แปรปรวนมากเกินไป พยายามรักษาสมดุลเอาไว้ จัดสรรทรัพยากรได้อย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ใช่ให้ทรัพยากรไปตกอยู่ในมือของคนร่ำรวยไม่กี่คนไม่กี่กลุ่ม จะทำยังไงให้ประชาชนทุกคนมีกินมีใช้มีความสุข และให้เศรษฐกิจมันเติบโตไปเหมาะสมกับสภาพสังคม พ่อค้าประชาชนพอใจกันทุกๆฝ่าย ?


ลองค้นหาเคล็ดวิชากันดูนะครับ ดีกว่าเรียนสรรพวิชากันไปแบบตะพืดตะพือ ไม่มีการจับประเด็นสำคัญ อย่างน้อยก็น่าจะได้รู้ว่าจุดมุ่งหมายของมันคืออะไร และจะไปค้นคว้าศึกษาต่อได้ยังไง

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สำหรับเมืองไทยวันนี้...

ธรรมะจากท่านพุทธทาส

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า...
เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา.
เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกยและเอาเปรียบเมื่อมีโอกาส เหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยมตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติสาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากันกับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.

.... ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันเถอะ - Let's Breastfeeding

เพิ่งจะผ่านพ้นวันแม่กันไปไม่นาน ก็อยากจะเล่าถึงคุณค่าของน้ำนมแม่ ถึงแม้ว่าคุณแม่สมัยนี้อาจจะนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมวัว (ที่ดัดแปลงส่วนผสมให้คล้ายนมแม่) กันมากกว่า เพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แม่ต้องออกไปทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว ไม่มีเวลาให้นมลูก หรืออาจจะเป็นค่านิยมที่คิดว่าเลี้ยงลูกด้วยนมวัวดีกว่า สะดวกกว่า ทันสมัยกว่า แต่ถึงยังไงผมก็คิดว่า นมแม่นี่แหละถือได้ว่าเป็นอาหารที่สุดวิเศษแล้ว ไม่ต้องไปเสียเงินเพิ่มให้สิ้นเปลือง เหตุผลง่ายๆที่ทารกควรกินนมแม่แทนที่จะกินนมวัว ก็เพราะส่วนประกอบต่างๆในนมแม่เหมาะกับการเลี้ยงทารกที่สุดไงล่ะ ถึงแม้ว่านมวัวอาจจะมีสารอาหารบางอย่างมากกว่าแต่ก็เหมาะกับการเลี้ยงลูกวัวมากกว่าลูกคนอยู่ดี

แหล่งพลังงานที่สำคัญในน้ำนมคือน้ำตาลแลคโตสและโปรตีน ซึ่งทารกจะนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและช่วยให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆเต็มที่ โปรตีนในนมจะแบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ เวย์โปรตีน (Whey)และเคซีน (Casein)ซึ่งเวย์โปรตีนจะถูกย่อยได้ง่ายกว่าเคซีน เพราะเคซีนเวลาเจอกรดในกระเพาะอาหาร จะเกิดการตกตะกอนเป็นก้อนๆ จะทำให้ย่อยยาก ซึ่งเค้าได้มีการวิจัยมาแล้วว่า นมแม่จะมีสัดส่วนของเวย์โปรตีนมากกว่า ดังนั้นทารกที่กินนมแม่ก็จะย่อยนมได้ง่าย ท้องไม่อืด ขี้ไม่แข็งและไม่ค่อยเหม็นด้วย ต่างกับนมวัวที่มีเคซีนมากกว่าเวย์โปรตีน ทำให้ย่อยยาก ไม่เหมาะกับเด็กทารกที่ระบบทางเดินอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่ การย่อยอาหารก็ยังไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ หนำซ้ำถึงแม้โปรตีนในนมวัวจะมีมากกว่านมแม่แต่ก็อาจทำให้ทารกเกิดการแพ้ได้

นมแม่ที่ถือได้ว่าวิเศษสุดๆ อุดมไปด้วยสารอาหารมากสุด และยังมีภูมิคุ้มกันมากที่สุด เป็นนมที่หลั่งออกมาประมาณ 3-4 วันแรกหลังคลอด ที่เค้าเรียกว่าโคลอสตรั้ม (Colostrum)ถือว่าพลาดไม่ได้ ควรให้ทารกที่เพิ่งเกิดได้กิน ความวิเศษของนมแม่อยู่ตรงนี้ล่ะครับ คือจะมีเซลล์ภูมิคุ้มกัน แอนติบอดี และอื่นๆอีกมากมายที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ที่จะออกมาในนมแม่ในช่วงแรกๆหลังคลอด ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยมาแล้วพบว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีอัตราการติดเชื้อโรค และตายน้อยกว่าเด็กที่เลี้ยงด้วยนมผง นอกจากนี้เด็กที่กินนมแม่ยังเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดน้อยกว่าด้วย

ปกติคนตั้งท้องจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหลายกิโล ส่วนหนึ่งจะเป็นน้ำหนักตัวของเด็ก อีกส่วนก็จะเป็นไขมันที่เก็บสะสมเอาไว้ ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ก็จะมีการนำไขมันส่วนเกินเหล่านี้มาใช้เป็นพลังงาน นำมาใช้สร้างน้ำนม ซึ่งก็จะช่วยลดน้ำหนักไปด้วยในตัว ไม่ต้องเสียเวลาไปออกกำลังกายเพิ่มมากนัก จะเห็นได้ว่าธรรมชาติได้เตรียมพร้อมเอาไว้ให้แล้ว แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ สังเกตได้ว่าแม่สมัยนี้มักจะบ่นกันว่าคลอดลูกแล้วอ้วนขึ้น ต้องไปออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อรีดไขมันออกอีก

เวลาที่ลูกดูดนมแม่ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin)และออกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งฮอร์โมนตัวแรกจะช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมมากขึ้น ฉะนั้นยิ่งลูกกินนมแม่มาก แม่ก็จะยิ่งสร้างน้ำนมออกมามากขึ้น ส่วนฮอร์โมนตัวหลังจะช่วยให้มดลูกบีบตัว ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือแม่ได้มีโอกาสอุ้มลูก ได้สัมผัสโอบกอด และสบสายตากับลูกทำให้เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งหลายๆคนบอกว่าช่วงที่ให้นมลูกนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามาก ส่วนลูกเองก็จะรู้สึกได้ถึงความรักความอบอุ่นจากแม่ ซึ่งจะทำให้ลูกมีพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สมองและจิตใจที่ดี มีความผูกพันกับแม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสายใยรักภายในครอบครัวให้มีมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามนมวัวก็อาจจะเอามาทดแทนนมแม่ได้ เพราะแม่อาจจะไม่สามารถให้นมไปได้ตลอด ซึ่งเค้าก็แนะนำว่าควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ซัก 4-6 เดือน หลังจากนั้นค่อยลดการให้นมแม่ลง แล้วเปลี่ยนไปให้นมวัวแทน (ซึ่งก็มีหลายสูตร ทั้งที่พยายามดัดแปลงส่วนผสมให้เหมือนนมแม่มากที่สุด หรือดัดแปลงส่วนผสมแค่บางอย่าง และแน่นอนว่าแบบแรกจะราคาแพงกว่ามาก) หรือให้อาหารเสริมเพิ่มขึ้น เพราะทารกเริ่มจะเคี้ยวได้แล้ว ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวก็ยังมีข้อควรระวังอีกหลายอย่าง เพราะอาจจะติดเชื้อได้ง่ายจากขวดนมและน้ำที่ใช้ผสมที่ไม่สะอาด จึงต้องควบคุมเรื่องความสะอาดให้ดี นอกจากนี้บางรายอาจจะอยากรัดเข็มขัดประหยัดนมวัวด้วยการเจือจางนม ซึ่งนั่นก็ถือว่าอันตรายกับทารกมาก เพราะอาจจะทำให้ทารกขาดสารอาหารได้ จะยิ่งเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามากขึ้น ดังนั้นถ้าหากอยากประหยัดเงินค่านมผง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง

คุณประโยชน์ของน้ำนมแม่ยังมีอีกมากมายซึ่งพรรณนาได้ไม่สิ้นสุด มากมายเทียบได้กับพระคุณของแม่ที่เลี้ยงเราจนเติบโตจนถึงทุกวันนี้ น้ำนมแม่นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่เหมาะสมกับลูก ภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องลูกจากโรคภัยต่างๆ และยังเป็นสื่อในการเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นสมัยเด็กๆ ถ้าใครมีบุญได้ดื่มได้กินนมแม่ก็จงภูมิใจไว้เถอะ ส่วนผมถ้าตอนเด็กๆรู้ว่านมแม่มีคุณค่ามากมายถึงขนาดนี้ก็คงจะกินนมแม่แบบไม่เกี่ยงหรอก เห็นแม่บอกว่าไม่ค่อยยอมกินนมแม่ กินแล้วก็อาเจียน เลยอดกิน ได้ไปดูดนมวัวแทน 55+

สำหรับท่านใดที่สนใจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็อาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหลายๆแหล่ง เพราะเดี๋ยวนี้เค้าก็รณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายๆอย่างตามที่ได้เล่าไปแล้ว แล้วยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วย ยิ่งยุคสมัยที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ เราน่าจะกลับสู่วิถีแบบธรรมชาติ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนการซื้อนมผง โดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือที่มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป หรือจะค้นหาในเว็บไซต์ เช่น ค้นหาด้วยกูเกิ้ลก็ได้

เท่าที่ผมค้นหาดูก็เจอเว็บที่น่าสนใจ 2 แห่งคือ

- http://www.thaibreastfeeding.org/

- http://www.breastfeedingthai.com/
ซึ่งก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ศึกษามากมาย มีคำแนะนำที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมของหลายๆคนได้ เช่น กรณีที่แม่ที่ต้องไปทำงานแต่ก็ยังอยากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะทำยังไง เป็นต้น ถ้าสนใจอยากอ่านรายละเอียด ก็เข้าไปดูได้ครับ

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีทำตัวอักษรในอินเทอร์เน็ตให้ใหญ่

เวลาที่ท่องไปตามเว็บไซต์ต่างๆ หลายคนอาจจะประสบปัญหา เมื่อพบว่าตัวหนังสือในเว็บไซต์นั้นเล็กมากจนแทบอาจไม่ออก ถ้ายังเป็นเด็กๆสายตาดีอยู่ก็ยังไม่เท่าไร แต่ให้คนแก่ไปนั่งเพ่งดูนี่คงถึงขั้นหน้ามืดได้ ครั้นจะลงคอมเม้นท์หรือส่งอีเมล์ไปต่อว่าเจ้าของเว็บก็ไม่รู้ว่าเขาจะเสียเวลามาแก้ตัวอักษรให้มั้ย แล้วเราก็ต้องการอ่านเนื้อหาตรงหน้านั้นเลย เพราะมันเป็นข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นมาก เราจะทำยังไง

ผมก็ขอแนะนำวิธีที่หลายคนอาจจะรู้แล้ว แต่ก็มีอีกหลายๆคนที่ชีวิตนี้ไม่ได้นั่งอยู่กับหน้าจอคอมเป็นกิจวัตรแต่ให้ต้องมีโอกาสมานั่งหางานในอินเทอร์เน็ต แล้วมาเจอเจ้าเว็บที่มีตัวหนังสือเล็กกระจิ๋วอย่างที่ว่า

วิธีแรก สำหรับท่านที่ใช้โปรแกรม Internet Explorer ขอแนะนำให้ไปดูที่เมนูด้านบน (ที่มันมี File Edit View Favorites Tools Help) ให้เลือก View เพราะเรากำลังจะปรับการมองเห็นเว็บไซต์อันนั้น จากนั้นก็มองหา Text size เพื่อปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น


นอกจากนี้อาจจะลองไปดูที่เมนูที่อยู่ด้านบนทางขวามือ คลิกตรงเมนู Pages เพื่อจัดการกับหน้านั้น ก็จะมี Text size ให้เลือกเพิ่มขนาดตัวหนังสือ และยังมีคำสั่งซูม (Zoom) ให้ซูมเข้าซูมออกได้ด้วย ก็จะยิ่งสามารถขยายตัวอักษรได้ใหญ่มากขึ้นด้วย

หรือใช้วิธีที่ง่ายกว่านั้น ไม่ต้องมองหาเมนูให้เมื่อยสายตา โดยการมองดูที่ keyboard ของท่าน และกดปุ่ม Ctrl และ + ก็ได้ผลเช่นกัน และถ้ากดปุ่ม Ctrl กับ - ก็จะเป็นการซูมออก ง่ายมั้ยล่ะครับ

สำหรับท่านที่ใช้โปรแกรม Firefox ก็เช่นเดียวกัน มองแถบเมนูที่อยู่ด้านบน เลือก View และเลือกคำสั่ง Text size หรือจะใช้วิธีง่ายๆแบบเมื่อกี้ คือกดปุ่ม Ctrl กับ + เพื่อขยายตัวอักษร, Ctrl กับ - เพื่อลดตัวขนาดตัวอักษร และกดปุ่ม Ctrl กับ 0 เพื่อให้ตัวอักษรกลับมาขนาดปกติเหมือนตอนแรกเริ่ม

วิธีที่ 2 ถ้าหากใช้วิธีแรกแล้วตัวหนังสือยังใหญ่ไม่จุใจ ก็ขอแนะนำวิธีนี้ครับ คือการไปดาวน์โหลดโปรแกรมแว่นขยายมาใช้ ซึ่งโปรแกรมนี้ก็อาจจะเอาใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้นอกจากการเล่นเน็ต เช่นใช้ส่องข้อความในโปรแกรมต่างๆที่เราใช้อยู่ ใช้อ่านคู่มือ (Help) ของโปรแกรมเหล่านั้น ส่องขยายดูรูปภาพที่เราสนใจ หรือจะเอามาอ่านข้อความใน Microsoft Word หรือไฟล์ข้อมูลที่เป็น PDF ก็ย่อมได้ เรียกได้ว่าใช้ส่องได้ทุกที่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเราเลย

โปรแกรมที่จะขอแนะนำวันนี้คือ โปรแกรม Virtual Magnifying Glass 3.3.1 ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในระบบปฏิบัติการ Window, Linux, FreeBSD และ Mac

ดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ
http://magnifier.sourceforge.net/#download

ก็เลือกโหลดให้ตรงกับระบบปฏิบัติการของท่านตามอัธยาศัย ซึ่งถ้าเป็น Window ก็เลือกอันแรกเลย ดาวน์โหลดมาแล้วก็จัดการลงโปรแกรม (install) ในเครื่องก็เรียบร้อยครับ

โปรแกรมนี้เป็น โปรแกรมฟรี และ Opensource คือเราสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ (ถ้ามีความรู้นะครับ 55+)

สำหรับวิธีสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ แบบสูงสุดคืนสู่สามัญ นั่นคือก็อบปี้ (Copy) ข้อความ ลงโปรแกรม Microsoft Word แล้วขยายตัวหนังสือให้มันใหญ่ขนาดที่สายตาเราอ่านสบาย ซึ่งเป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยถ้าเกิดว่าต้องอ่านอะไรที่มันเยอะๆ ยากๆ จากนั้นก็จะปรินท์ออกมาเลย ไว้อ่านทีหลังดีกว่า หรือถ้าเป็นไฟล์ PDF ก็แค่ดาวน์โหลดไฟล์มาแล้วเอาไปปรินท์ ดีกว่ามานั่งเพ่งตัวหนังสือในจอคอมพิวเตอร์ครับ ช่วยถนอมสายตาเราด้วย แนะนำว่าถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็ควรจะหมั่นพักสายตาเป็นระยะบ้าง ประมาณ 15 นาที ทุก 1 ชั่วโมง ก็ยังดีครับ ระหว่างพักสายตาก็อาจจะไปเดินเล่น เข้าห้องน้ำ มองต้นไม้สีเขียวๆ หรือหลับตา นอนซักงีบก็จะช่วยให้สายตาท่านไม่ล้าเกินไปด้วย

ตอนนี้วิกฤติโลกร้อน (Global Warming) กำลังมาแรง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะใช้กระดาษให้คุ้มค่าที่สุด อาจจะใช้กระดาษที่ใช้ไปหน้านึงแล้ว มาปรินท์ลงอีกหน้าที่ยังว่างอยู่ก็ได้นะครับ ช่วยกันประหยัดกระดาษ ลดการตัดต้นไม้ และยังลดปริมาณขยะลงด้วย

แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าใช้กระดาษครบ 2 หน้าแล้ว ยังสามารถใช้กระดาษหน้าที่สามได้ด้วย โดยโรงเรียนสอนคนตาบอดเค้าจะนำไปทำเป็นหนังสืออักษรเบรลล์ ที่มันเป็นอักษรตัวนูนๆนั่นล่ะครับ ให้ผู้พิการทางสายตาได้อ่านกัน งานนี้นอกจากจะช่วยลดขยะ ได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าแล้วยังได้ทำความดี ช่วยให้เด็กๆผู้พิการทางสายตา ได้เรียนรู้จากการอ่านหนังสือดีๆด้วย

ท่านสามารถบริจาคกระดาษใช้แล้วขนาด A4 สภาพดีได้ที่:
มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0-2354-8365-68, 0-2354-8370-71 โทรสาร 0-2354-8369