วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Let us complain less and give more! - กำลังใจให้คุณ

ใครที่กำลังท้อแท้กับชีวิต หมดอาลัยตายอยาก เบื่อ โศกเศร้า เหงา คิดว่าชีวิตตัวเองลำบากมาก ลองอ่าน Forward mail นี้ดู แล้วจะเห็นคุณค่าของชีวิต เมื่อรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่ลำบากกว่าเราเยอะ และพวกเขาก็กำลังต่อสู้อยู่อย่างไม่ยอมแพ้ ...












If you think you are unhappy, look at them


If you think your salary is low, how about her?


If you think you don't have many friends...


When you feel like giving up, think of this man


If you think you suffer in life, do you suffer as much as he does?


If you complain about your transport system, how about them?

If your society is unfair to you, how about her?


Enjoy life how it is and as it comes

Things are worse for others and is a lot better for us

There are many things in your life that will catch your eye but only a few will catch your heart....pursue those...

This email needs to circulate forever...

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Beijing Welcomes You & You and Me - Olympics 2008

ชอบ MV 2 อันนี้มาก ดูกี่ครั้งก็ประทับใจ โอลิมปิกครั้งนี้จีนจัดได้อย่างยิ่งใหญ่และประทับใจสมกับที่ลงทุนลงแรงเตรียมงานมาอย่างดีจริงๆครับ

ก็หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพและความร่วมแรงร่วมใจของมนุษยชาติ เพื่อโลกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะเราทุกคน ไม่ว่าจะชนชาติไหน อยู่ในดินแดนใด ประเทศอะไร ก็ล้วนแต่เป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น

"One World One Dream" เชื่อว่าทุกคนคงมีความฝันที่โลกใบนี้จะไม่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความขัดแย้ง หรือการแบ่งแยกชนชั้น อยากให้มีแต่สันติภาพและความรัก ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ประเทศที่เจริญแล้วช่วยพัฒนาและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่ประเทศที่ด้อยกว่า ซึ่งความฝันนี้ถึงจะเป็นไปได้ยากเพียงใดก็ตาม ก็ยังหวังว่ามันจะกลายเป็นจริงสักวันหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็ขอให้มันเป็นไปได้ให้มากที่สุด และที่สำคัญความฝันนี้จะสำเร็จได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับทุกๆคนที่จะช่วยกันสร้างมันขึ้นมา (ขอแค่อย่าต่างคนต่างฝัน ฝันเพื่อผลประโยชน์เฉพาะตนหรือพวกพ้อง โดยไม่สนใจความอดอยากยากไร้หรือความเดือดร้อนของเพื่อนร่วมชาติและร่วมโลก )

เคยฟังนิทานเรื่องลุงโง่ย้ายภูเขามั้ยครับ หน้าบ้านลุงโง่มีภูเขาใหญ่ขวางอยู่ 2 ลูก เวลาแกจะไปไหนมาไหนก็ลำบาก วันหนึ่งแกก็เดินตรงไปที่ภูเขา แล้วเริ่มลงมือขุด ขุดและขุด เพื่อที่จะย้ายภูเขาออกไปจากหน้าบ้าน ทำไปไม่มีที่สิ้นสุด ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาเป็นเวลานานหลายปี ก็เริ่มมีลูกหลานมาช่วยกันขุดด้วย วันหนึ่งลุงฉลาดก็ถามลุงโง่ว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้นทั้งๆที่รู้อยู่ว่าไม่มีทางย้ายภูเขาได้สำเร็จหรอก ลุงโง่ก็ตอบกลับไปว่า

"ต้องย้ายสำเร็จสิ เพราะ ภูเขานับวันก็มีแต่จะกร่อนลงเรื่อยๆ แต่นับวันข้าก็มีลูกหลานที่จะมาช่วยกันขุดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงข้าจะตายไป แต่ก็ยังมีรุ่นลูก รุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นโหลน และรุ่นต่อๆไป มาช่วยกัน สักวันหนึ่งก็จะต้องย้ายได้สำเร็จ"

ตอนจบ คือ เทวดาเกิดความสะเทือนใจกับคำพูดของลุงโง่ จึงลงมาช่วยยกภูเขา 2 ลูกนี้ออกไป.


Beijing Welcome You [MV] 2008 Olympic Game
Uploaded by d123am

You and Me - Beijing Olympic Song 2008

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับวิชา

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนังจีนและอ่านนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่เด็ก สิ่งหนึ่งที่หนังจีนมักจะกล่าวถึงคือเคล็ดลับวิชา ที่ตัวเอกของเรื่องมักจะได้รับการถ่ายทอดมาแบบไม่คาดคิดในบางสถานการณ์ เช่นไปพบจอมยุทธที่เร้นตัวอยู่ในถ้ำ หรืออาจจะได้มาตอนที่อาจารย์ถูกทำร้ายบาดเจ็บอาการหนักสาหัสปางตาย ซึ่งเจ้าเคล็ดลับวิชานี่ก็มักจะเป็นประโยคแค่ไม่กี่ประโยค หรือเป็นเพียงบทกลอนสั้นๆ ซึ่งผมก็สงสัยอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่าเพียงแค่คำไม่กี่คำนี่มันจะทำให้คนเก่งขึ้นแบบข้ามขั้นได้อย่างไร

ความสงสัยนี้ก็ยังคงซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกมาจนถึงทุกวันนี้ และก็ให้รู้สึกประหลาดใจทุกครั้งที่กลับมานึกย้อนถึงความคิดสมัยอดีตอีกครั้ง เมื่อพบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจความหมายและความสำคัญของเคล็ดลับวิชามากขึ้น หลังจากที่ได้ร่ำเรียนวิชาความรู้ต่างๆ และผ่านประสบการณ์มาจนถึงตอนนี้

แท้จริงแล้ว ทุกวิชาที่เราเรียนกันอยู่นั้น ต่างก็มีเคล็ดวิชา แก่นของวิชา หรือหัวใจของวิชานั้นๆ อยู่ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นวิชากำลังภายในเพียงอย่างเดียว อยู่ที่ว่าเราจะจับมันกันได้รึเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ครูอาจารย์มักจะสอนคือ "เนื้อหาวิชา" ซึ่งก็ได้แต่ท่องจำและเข้าใจเนื้อความกันไปตามเรื่อง เมื่อไม่ได้นำมาใช้ก็จะค่อยๆหายไป จนลืมไปในที่สุด

แต่เคล็ดวิชาจะเกิดขึ้นได้ด้วยการเชื่อมโยง "เนื้อหาวิชา" ที่เรียนไปเข้าด้วยกัน และจับประเด็น หลักการหรือ concept ของมันไว้ หรือจะเรียกว่าเป็นความคิดรวบยอดก็ได้ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่ามันไม่ใช่แค่ความเข้าใจ แต่มันคือการเข้าถึงหัวใจของวิชานั้นๆ รวมทั้งเข้าใจจุดมุ่งหมายของวิชาด้วย และเคล็ดวิชาก็อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงๆ ให้วิชาที่ได้เรียนไปนั้นค่อยๆซึมซับเข้าสมองและจิตใจ (รวมทั้งไขสันหลัง จนกลายเป็นรีเฟล็ก ตอบสนองได้อัตโนมัติเลย) ในระหว่างลงมือปฏิบัติ ก็จะต้องมีการทบทวนความรู้ที่มีอยู่เดิม ขวนขวายหาสิ่งที่ขาดหายไป ค้นหาวิธีการแก้ไขปัญหา และนำความรู้ทั้งหมดที่มีมาประมวลเข้าด้วยกัน จนวันหนึ่งมันจะตกผลึกออกมาเป็นเคล็ดวิชาของคนๆนั้น

ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงความเข้าใจของผมเกี่ยวกับเคล็ดวิชาที่ว่าอ่ะนะ

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปว่าแค่รู้เคล็ดวิชาแล้วจะเก่งขึ้นทันตาเห็น เพราะเคล็ดวิชาจะทำงานได้ต้องอาศัยความรู้หรือเนื้อหาวิชาที่อาจารย์พร่ำสอนให้จำและเข้าใจด้วย เหมือนกับการทำอาหารที่บังเอิญไปได้ยินเทคนิคพิเศษมา แต่ไม่รู้วิธีการทำอาหารชนิดนั้น มันก็ไร้ค่า เคล็ดวิชาถ้าขาดความรู้พื้นฐาน มันก็มีค่าเป็นแค่วลีธรรมดาๆ ซึ่งนี่ก็ช่วยตอบคำถามที่ว่าทำไมพระเอกในหนังถึงเก่งขึ้นได้ ก็เพราะเขามีวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาเป็นพื้นฐานเดิมอยู่ก่อนแล้ว เมื่อรู้เคล็ดลับวิชาเข้าไปอีก ก็จะช่วยให้พระเอกนำวิชาฝีมือที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพดีเยี่ยม

และถึงแม้เมื่อสูงอายุขึ้นหรือห่างเหินจากวิชานั้นนานเกินไป จนจำตัวความรู้หรือเนื้อหาวิชาไม่ได้
แต่ถ้าหากยังมีเคล็ดวิชาอยู่และยังมีความเข้าใจหลงเหลืออยู่บ้าง ก็น่าจะช่วยให้ฟื้นฟูความรู้ได้รวดเร็วขึ้น เมื่อไปค้นหามันอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยก็เคยเรียนมารอบหนึ่งแล้ว ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ

เคล็ดวิชาไม่จำเป็นจะต้องมาจากการเรียนวิชาทั่วไปเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นมาได้จากประสบการณ์การใช้ชีวิตด้วย

และเคล็ดวิชาจะทำงานได้ดีที่สุดถ้าหากมันมาจากการตกผลึกด้วยตนเอง

ดังนั้นทั้งตัวความรู้และเคล็ดวิชา จึงมีความสำคัญทั้งคู่ ขาดจากกันไม่ได้

จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมา เคล็ดวิชาอย่างหนึ่งที่ผมพบ คือการรักษาสมดุล

ซึ่งดูธรรมดามาก จริงมั้ยครับ ใครๆเค้าก็รู้กัน แต่ผมเชื่อว่าเคล็ดวิชานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายๆศาสตร์ หลายๆสาขาอาชีพ ไม่เชื่อลองเอาไปคิดประกอบกับบทเรียนที่ท่านกำลังเรียนอยู่ก็ได้ ทั้งบทเรียนในห้องเรียนและบทเรียนในชีวิตประจำวัน

พระพุทธเจ้าทรงค้นพบทางสายกลาง พิณที่สายตึงไป ดีดไปสายก็ขาด พิณที่สายหย่อน เมื่อดีดเสียงก็ไม่ไพเราะ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมถ้าไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ในที่สุด

ที่บ้านเมืองเราวุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ เพราะขาดความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสาม คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ รวมทั้งสมดุลระหว่างรัฐบาล ประชาชน องค์กรเอกชนและองค์กรอิสระ


ที่สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอยู่ทุกวันนี้ เพราะเรามัวแต่พัฒนาสร้างโรงงาน สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก ตัดต้นไม้ทิ้ง คิดว่านั่นเป็นความเจริญรุ่งเรือง มุ่งแต่จะให้ตัวเองสบาย มั่งคั่งร่ำรวย โดยไม่ได้คำนึงถึงสมดุลของธรรมชาติและระบบนิเวศ

ร่างกายคนเราก็ต้องมีสมดุลของมัน ถ้าหากเสียสมดุลไปจากเดิม ก็เกิดความเจ็บป่วยขึ้น การใช้ยาก็เพื่อไปปรับสมดุลให้เข้าสู่ระดับปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่ายาจะดีเสมอไป เพราะถ้าใช้ยามากเกินความจำเป็น มันก็เสียสมดุลไปอีก ดังนั้นการใช้ยาจึงต้องสมเหตุสมผล ไม่ใช้พร่ำเพรื่อ

ในระบบเศรษฐกิจ เงินเฟ้อหรือเงินฝืดเกินมันก็ไม่ดี เศรษฐกิจฝืดเคืองก็ไม่ดี เศรษฐกิจขยายตัวมากเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน ค่าเงินบาทอ่อนไปหรือแข็งไปก็ไม่ดี แล้วจะทำยังไงให้ระบบเศรษฐกิจมีสมดุล ไม่แปรปรวนมากเกินไป พยายามรักษาสมดุลเอาไว้ จัดสรรทรัพยากรได้อย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ไม่ใช่ให้ทรัพยากรไปตกอยู่ในมือของคนร่ำรวยไม่กี่คนไม่กี่กลุ่ม จะทำยังไงให้ประชาชนทุกคนมีกินมีใช้มีความสุข และให้เศรษฐกิจมันเติบโตไปเหมาะสมกับสภาพสังคม พ่อค้าประชาชนพอใจกันทุกๆฝ่าย ?


ลองค้นหาเคล็ดวิชากันดูนะครับ ดีกว่าเรียนสรรพวิชากันไปแบบตะพืดตะพือ ไม่มีการจับประเด็นสำคัญ อย่างน้อยก็น่าจะได้รู้ว่าจุดมุ่งหมายของมันคืออะไร และจะไปค้นคว้าศึกษาต่อได้ยังไง

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สำหรับเมืองไทยวันนี้...

ธรรมะจากท่านพุทธทาส

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า...
เขาเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา.
เขาเป็นเพื่อนเวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกยและเอาเปรียบเมื่อมีโอกาส เหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้าดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยมตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้สมบัติสาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือเสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากันกับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.

.... ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันเถอะ - Let's Breastfeeding

เพิ่งจะผ่านพ้นวันแม่กันไปไม่นาน ก็อยากจะเล่าถึงคุณค่าของน้ำนมแม่ ถึงแม้ว่าคุณแม่สมัยนี้อาจจะนิยมเลี้ยงลูกด้วยนมวัว (ที่ดัดแปลงส่วนผสมให้คล้ายนมแม่) กันมากกว่า เพราะสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แม่ต้องออกไปทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว ไม่มีเวลาให้นมลูก หรืออาจจะเป็นค่านิยมที่คิดว่าเลี้ยงลูกด้วยนมวัวดีกว่า สะดวกกว่า ทันสมัยกว่า แต่ถึงยังไงผมก็คิดว่า นมแม่นี่แหละถือได้ว่าเป็นอาหารที่สุดวิเศษแล้ว ไม่ต้องไปเสียเงินเพิ่มให้สิ้นเปลือง เหตุผลง่ายๆที่ทารกควรกินนมแม่แทนที่จะกินนมวัว ก็เพราะส่วนประกอบต่างๆในนมแม่เหมาะกับการเลี้ยงทารกที่สุดไงล่ะ ถึงแม้ว่านมวัวอาจจะมีสารอาหารบางอย่างมากกว่าแต่ก็เหมาะกับการเลี้ยงลูกวัวมากกว่าลูกคนอยู่ดี

แหล่งพลังงานที่สำคัญในน้ำนมคือน้ำตาลแลคโตสและโปรตีน ซึ่งทารกจะนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและช่วยให้มีพัฒนาการทางด้านต่างๆเต็มที่ โปรตีนในนมจะแบ่งได้ 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ เวย์โปรตีน (Whey)และเคซีน (Casein)ซึ่งเวย์โปรตีนจะถูกย่อยได้ง่ายกว่าเคซีน เพราะเคซีนเวลาเจอกรดในกระเพาะอาหาร จะเกิดการตกตะกอนเป็นก้อนๆ จะทำให้ย่อยยาก ซึ่งเค้าได้มีการวิจัยมาแล้วว่า นมแม่จะมีสัดส่วนของเวย์โปรตีนมากกว่า ดังนั้นทารกที่กินนมแม่ก็จะย่อยนมได้ง่าย ท้องไม่อืด ขี้ไม่แข็งและไม่ค่อยเหม็นด้วย ต่างกับนมวัวที่มีเคซีนมากกว่าเวย์โปรตีน ทำให้ย่อยยาก ไม่เหมาะกับเด็กทารกที่ระบบทางเดินอาหารยังพัฒนาไม่เต็มที่ การย่อยอาหารก็ยังไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ หนำซ้ำถึงแม้โปรตีนในนมวัวจะมีมากกว่านมแม่แต่ก็อาจทำให้ทารกเกิดการแพ้ได้

นมแม่ที่ถือได้ว่าวิเศษสุดๆ อุดมไปด้วยสารอาหารมากสุด และยังมีภูมิคุ้มกันมากที่สุด เป็นนมที่หลั่งออกมาประมาณ 3-4 วันแรกหลังคลอด ที่เค้าเรียกว่าโคลอสตรั้ม (Colostrum)ถือว่าพลาดไม่ได้ ควรให้ทารกที่เพิ่งเกิดได้กิน ความวิเศษของนมแม่อยู่ตรงนี้ล่ะครับ คือจะมีเซลล์ภูมิคุ้มกัน แอนติบอดี และอื่นๆอีกมากมายที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน ที่จะออกมาในนมแม่ในช่วงแรกๆหลังคลอด ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยมาแล้วพบว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีอัตราการติดเชื้อโรค และตายน้อยกว่าเด็กที่เลี้ยงด้วยนมผง นอกจากนี้เด็กที่กินนมแม่ยังเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดน้อยกว่าด้วย

ปกติคนตั้งท้องจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหลายกิโล ส่วนหนึ่งจะเป็นน้ำหนักตัวของเด็ก อีกส่วนก็จะเป็นไขมันที่เก็บสะสมเอาไว้ ถ้าหากว่าเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ก็จะมีการนำไขมันส่วนเกินเหล่านี้มาใช้เป็นพลังงาน นำมาใช้สร้างน้ำนม ซึ่งก็จะช่วยลดน้ำหนักไปด้วยในตัว ไม่ต้องเสียเวลาไปออกกำลังกายเพิ่มมากนัก จะเห็นได้ว่าธรรมชาติได้เตรียมพร้อมเอาไว้ให้แล้ว แต่น่าเสียดายที่บางคนก็ไม่เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ สังเกตได้ว่าแม่สมัยนี้มักจะบ่นกันว่าคลอดลูกแล้วอ้วนขึ้น ต้องไปออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อรีดไขมันออกอีก

เวลาที่ลูกดูดนมแม่ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (Prolactin)และออกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งฮอร์โมนตัวแรกจะช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำนมมากขึ้น ฉะนั้นยิ่งลูกกินนมแม่มาก แม่ก็จะยิ่งสร้างน้ำนมออกมามากขึ้น ส่วนฮอร์โมนตัวหลังจะช่วยให้มดลูกบีบตัว ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็วขึ้น

ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คือแม่ได้มีโอกาสอุ้มลูก ได้สัมผัสโอบกอด และสบสายตากับลูกทำให้เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งหลายๆคนบอกว่าช่วงที่ให้นมลูกนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามาก ส่วนลูกเองก็จะรู้สึกได้ถึงความรักความอบอุ่นจากแม่ ซึ่งจะทำให้ลูกมีพัฒนาการทั้งทางร่างกาย สมองและจิตใจที่ดี มีความผูกพันกับแม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสายใยรักภายในครอบครัวให้มีมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามนมวัวก็อาจจะเอามาทดแทนนมแม่ได้ เพราะแม่อาจจะไม่สามารถให้นมไปได้ตลอด ซึ่งเค้าก็แนะนำว่าควรจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ซัก 4-6 เดือน หลังจากนั้นค่อยลดการให้นมแม่ลง แล้วเปลี่ยนไปให้นมวัวแทน (ซึ่งก็มีหลายสูตร ทั้งที่พยายามดัดแปลงส่วนผสมให้เหมือนนมแม่มากที่สุด หรือดัดแปลงส่วนผสมแค่บางอย่าง และแน่นอนว่าแบบแรกจะราคาแพงกว่ามาก) หรือให้อาหารเสริมเพิ่มขึ้น เพราะทารกเริ่มจะเคี้ยวได้แล้ว ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวก็ยังมีข้อควรระวังอีกหลายอย่าง เพราะอาจจะติดเชื้อได้ง่ายจากขวดนมและน้ำที่ใช้ผสมที่ไม่สะอาด จึงต้องควบคุมเรื่องความสะอาดให้ดี นอกจากนี้บางรายอาจจะอยากรัดเข็มขัดประหยัดนมวัวด้วยการเจือจางนม ซึ่งนั่นก็ถือว่าอันตรายกับทารกมาก เพราะอาจจะทำให้ทารกขาดสารอาหารได้ จะยิ่งเสียค่าใช้จ่ายในการรักษามากขึ้น ดังนั้นถ้าหากอยากประหยัดเงินค่านมผง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง

คุณประโยชน์ของน้ำนมแม่ยังมีอีกมากมายซึ่งพรรณนาได้ไม่สิ้นสุด มากมายเทียบได้กับพระคุณของแม่ที่เลี้ยงเราจนเติบโตจนถึงทุกวันนี้ น้ำนมแม่นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นสารอาหารที่เหมาะสมกับลูก ภูมิคุ้มกันที่ช่วยปกป้องลูกจากโรคภัยต่างๆ และยังเป็นสื่อในการเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นสมัยเด็กๆ ถ้าใครมีบุญได้ดื่มได้กินนมแม่ก็จงภูมิใจไว้เถอะ ส่วนผมถ้าตอนเด็กๆรู้ว่านมแม่มีคุณค่ามากมายถึงขนาดนี้ก็คงจะกินนมแม่แบบไม่เกี่ยงหรอก เห็นแม่บอกว่าไม่ค่อยยอมกินนมแม่ กินแล้วก็อาเจียน เลยอดกิน ได้ไปดูดนมวัวแทน 55+

สำหรับท่านใดที่สนใจการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ก็อาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหลายๆแหล่ง เพราะเดี๋ยวนี้เค้าก็รณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันมากขึ้น เนื่องจากมีข้อดีหลายๆอย่างตามที่ได้เล่าไปแล้ว แล้วยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวด้วย ยิ่งยุคสมัยที่เศรษฐกิจฝืดเคืองอย่างนี้ เราน่าจะกลับสู่วิถีแบบธรรมชาติ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่แทนการซื้อนมผง โดยสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือที่มีขายตามร้านหนังสือทั่วไป หรือจะค้นหาในเว็บไซต์ เช่น ค้นหาด้วยกูเกิ้ลก็ได้

เท่าที่ผมค้นหาดูก็เจอเว็บที่น่าสนใจ 2 แห่งคือ

- http://www.thaibreastfeeding.org/

- http://www.breastfeedingthai.com/
ซึ่งก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ศึกษามากมาย มีคำแนะนำที่น่าจะช่วยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมของหลายๆคนได้ เช่น กรณีที่แม่ที่ต้องไปทำงานแต่ก็ยังอยากเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะทำยังไง เป็นต้น ถ้าสนใจอยากอ่านรายละเอียด ก็เข้าไปดูได้ครับ

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วิธีทำตัวอักษรในอินเทอร์เน็ตให้ใหญ่

เวลาที่ท่องไปตามเว็บไซต์ต่างๆ หลายคนอาจจะประสบปัญหา เมื่อพบว่าตัวหนังสือในเว็บไซต์นั้นเล็กมากจนแทบอาจไม่ออก ถ้ายังเป็นเด็กๆสายตาดีอยู่ก็ยังไม่เท่าไร แต่ให้คนแก่ไปนั่งเพ่งดูนี่คงถึงขั้นหน้ามืดได้ ครั้นจะลงคอมเม้นท์หรือส่งอีเมล์ไปต่อว่าเจ้าของเว็บก็ไม่รู้ว่าเขาจะเสียเวลามาแก้ตัวอักษรให้มั้ย แล้วเราก็ต้องการอ่านเนื้อหาตรงหน้านั้นเลย เพราะมันเป็นข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นมาก เราจะทำยังไง

ผมก็ขอแนะนำวิธีที่หลายคนอาจจะรู้แล้ว แต่ก็มีอีกหลายๆคนที่ชีวิตนี้ไม่ได้นั่งอยู่กับหน้าจอคอมเป็นกิจวัตรแต่ให้ต้องมีโอกาสมานั่งหางานในอินเทอร์เน็ต แล้วมาเจอเจ้าเว็บที่มีตัวหนังสือเล็กกระจิ๋วอย่างที่ว่า

วิธีแรก สำหรับท่านที่ใช้โปรแกรม Internet Explorer ขอแนะนำให้ไปดูที่เมนูด้านบน (ที่มันมี File Edit View Favorites Tools Help) ให้เลือก View เพราะเรากำลังจะปรับการมองเห็นเว็บไซต์อันนั้น จากนั้นก็มองหา Text size เพื่อปรับขนาดตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น


นอกจากนี้อาจจะลองไปดูที่เมนูที่อยู่ด้านบนทางขวามือ คลิกตรงเมนู Pages เพื่อจัดการกับหน้านั้น ก็จะมี Text size ให้เลือกเพิ่มขนาดตัวหนังสือ และยังมีคำสั่งซูม (Zoom) ให้ซูมเข้าซูมออกได้ด้วย ก็จะยิ่งสามารถขยายตัวอักษรได้ใหญ่มากขึ้นด้วย

หรือใช้วิธีที่ง่ายกว่านั้น ไม่ต้องมองหาเมนูให้เมื่อยสายตา โดยการมองดูที่ keyboard ของท่าน และกดปุ่ม Ctrl และ + ก็ได้ผลเช่นกัน และถ้ากดปุ่ม Ctrl กับ - ก็จะเป็นการซูมออก ง่ายมั้ยล่ะครับ

สำหรับท่านที่ใช้โปรแกรม Firefox ก็เช่นเดียวกัน มองแถบเมนูที่อยู่ด้านบน เลือก View และเลือกคำสั่ง Text size หรือจะใช้วิธีง่ายๆแบบเมื่อกี้ คือกดปุ่ม Ctrl กับ + เพื่อขยายตัวอักษร, Ctrl กับ - เพื่อลดตัวขนาดตัวอักษร และกดปุ่ม Ctrl กับ 0 เพื่อให้ตัวอักษรกลับมาขนาดปกติเหมือนตอนแรกเริ่ม

วิธีที่ 2 ถ้าหากใช้วิธีแรกแล้วตัวหนังสือยังใหญ่ไม่จุใจ ก็ขอแนะนำวิธีนี้ครับ คือการไปดาวน์โหลดโปรแกรมแว่นขยายมาใช้ ซึ่งโปรแกรมนี้ก็อาจจะเอาใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้นอกจากการเล่นเน็ต เช่นใช้ส่องข้อความในโปรแกรมต่างๆที่เราใช้อยู่ ใช้อ่านคู่มือ (Help) ของโปรแกรมเหล่านั้น ส่องขยายดูรูปภาพที่เราสนใจ หรือจะเอามาอ่านข้อความใน Microsoft Word หรือไฟล์ข้อมูลที่เป็น PDF ก็ย่อมได้ เรียกได้ว่าใช้ส่องได้ทุกที่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเราเลย

โปรแกรมที่จะขอแนะนำวันนี้คือ โปรแกรม Virtual Magnifying Glass 3.3.1 ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งในระบบปฏิบัติการ Window, Linux, FreeBSD และ Mac

ดาวน์โหลดได้ที่นี่ครับ
http://magnifier.sourceforge.net/#download

ก็เลือกโหลดให้ตรงกับระบบปฏิบัติการของท่านตามอัธยาศัย ซึ่งถ้าเป็น Window ก็เลือกอันแรกเลย ดาวน์โหลดมาแล้วก็จัดการลงโปรแกรม (install) ในเครื่องก็เรียบร้อยครับ

โปรแกรมนี้เป็น โปรแกรมฟรี และ Opensource คือเราสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ (ถ้ามีความรู้นะครับ 55+)

สำหรับวิธีสุดท้ายที่อยากจะแนะนำ แบบสูงสุดคืนสู่สามัญ นั่นคือก็อบปี้ (Copy) ข้อความ ลงโปรแกรม Microsoft Word แล้วขยายตัวหนังสือให้มันใหญ่ขนาดที่สายตาเราอ่านสบาย ซึ่งเป็นวิธีที่ผมใช้บ่อยถ้าเกิดว่าต้องอ่านอะไรที่มันเยอะๆ ยากๆ จากนั้นก็จะปรินท์ออกมาเลย ไว้อ่านทีหลังดีกว่า หรือถ้าเป็นไฟล์ PDF ก็แค่ดาวน์โหลดไฟล์มาแล้วเอาไปปรินท์ ดีกว่ามานั่งเพ่งตัวหนังสือในจอคอมพิวเตอร์ครับ ช่วยถนอมสายตาเราด้วย แนะนำว่าถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ก็ควรจะหมั่นพักสายตาเป็นระยะบ้าง ประมาณ 15 นาที ทุก 1 ชั่วโมง ก็ยังดีครับ ระหว่างพักสายตาก็อาจจะไปเดินเล่น เข้าห้องน้ำ มองต้นไม้สีเขียวๆ หรือหลับตา นอนซักงีบก็จะช่วยให้สายตาท่านไม่ล้าเกินไปด้วย

ตอนนี้วิกฤติโลกร้อน (Global Warming) กำลังมาแรง ถ้าเป็นไปได้ก็ควรจะใช้กระดาษให้คุ้มค่าที่สุด อาจจะใช้กระดาษที่ใช้ไปหน้านึงแล้ว มาปรินท์ลงอีกหน้าที่ยังว่างอยู่ก็ได้นะครับ ช่วยกันประหยัดกระดาษ ลดการตัดต้นไม้ และยังลดปริมาณขยะลงด้วย

แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าใช้กระดาษครบ 2 หน้าแล้ว ยังสามารถใช้กระดาษหน้าที่สามได้ด้วย โดยโรงเรียนสอนคนตาบอดเค้าจะนำไปทำเป็นหนังสืออักษรเบรลล์ ที่มันเป็นอักษรตัวนูนๆนั่นล่ะครับ ให้ผู้พิการทางสายตาได้อ่านกัน งานนี้นอกจากจะช่วยลดขยะ ได้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าแล้วยังได้ทำความดี ช่วยให้เด็กๆผู้พิการทางสายตา ได้เรียนรู้จากการอ่านหนังสือดีๆด้วย

ท่านสามารถบริจาคกระดาษใช้แล้วขนาด A4 สภาพดีได้ที่:
มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
เลขที่ 420 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์ 0-2354-8365-68, 0-2354-8370-71 โทรสาร 0-2354-8369

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

เรื่องเล่าจาก Forward mail ...

ครูถามนักเรียนว่า “อะไรคือมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลก”คำตอบมีต่างกันบ้าง แต่นักเรียนส่วนใหญ่ก็เลือกคำตอบดังนี้
( A group of students were asked to list what they thought were the present "Seven Wonders of the World." Though there were some disagreements,the following received the most votes:)

1. Egypt's Great Pyramids ปิรามิดแห่งอียิปต์

2. Taj Mahal ทัช มาฮาล

3. Grand Canyon ยอดเขาแกรนด์แคนย่อน

4. Panama Canal คลองปานามา

5. Empire State Building ตึกเอ็มไพร์สเตท

6. St. Peter's Basilica บาซิลิก้าแห่งวิหารเซนต์ปีเตอร์

7. China's Great Wall กำแพงเมืองจีน

ระหว่างที่รวบรวมคำตอบ ครูผู้สอนสังเกตเห็นว่า มีนักเรียนที่ยังเขียนไม่เสร็จอยู่คนหนึ่ง
(While gathering the votes, the teacher noted that one student had not finished her paper yet.)

ครูจึงถามเธอว่าเด็กหญิงเลือกไม่ถูกหรืออย่างไรเด็กหญิงตอบว่า “ค่ะ หนูไม่ทราบว่าจะเลือกอันใหนดี เพราะมันช่างมีมากมายเหลือเกิน”
(So she asked the girl if she was having trouble with her list. The girl replied, "Yes, a little. I couldn't quite make up my mind because there were so many.“)

ครูเอ่ยขึ้นว่า “งั้นหนูก็ลองบอกให้ฟังหน่อยสิจ้ะ เผื่อพวกเราจะช่วยได้”
(The teacher said, "Well, tell us what you have, and maybe we can help".)

เด็กหญิงรีรอสักครู่หนึ่ง ก่อนอ่านสิ่งที่ตนเขียน “หนูคิดว่า เจ็ดมหัศจรรย์ของโลก คือ..”
( "The girl hesitated, then read: "I think the 'Seven Wonders of the World' are:)

1. To See...การมองเห็น

2. To Hear...การได้ยิน

3. To Touch...การได้สัมผัส

4. To Taste...การได้รู้รส

5. To Feel...การได้รู้สึก

6. To Laugh...การได้ยิ้มหัวเราะ

7. And to Love….การได้รัก

ทั้งห้องอึ้งเงียบ เงียบมากขนาดได้ยินเสียงเข็มหล่นพื้นทีเดียวเรามองข้ามสิ่งเรียบง่ายและแสนธรรมดาไปโดยสิ้นเชิง
( The room was so quiet you could have heard a pin drop.The things we overlook as simple and ordinary and that we take for granted are truly wondrous!)

ขอย้ำอีกนิด :
(A gentle reminder :)

สิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต มิอาจสร้างได้ด้วยมือหรือซื้อหาได้ด้วยเงินอย่ามัวแต่ยุ่งจนลืมส่งสิ่งนี้ให้ใครต่อใครนะจ้ะแล้วคุณจะได้พบกับสิ่งที่ดีดี
(That the most precious things in life cannot be built by hand or bought by money.Don't be too busy to pass this along.)
...

เป็นเรื่องที่มีคุณค่าน่าเผยแพร่ต่อจริงๆครับ ^^

ตลอดช่วงเวลาที่มนุษยชาติครองโลก ได้สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์และสิ่งก่อสร้างที่น่าจะนับได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเอาไว้มากมาย จนคนยุคนี้จัดกันไม่หวาดไม่ไหว

มีทั้ง 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ยุคกลาง ยุคปัจจุบัน และล่าสุด ยุคใหม่ที่ใช้วิธีคัดสรรแหวกแนวไปจากเดิม โดยให้คนทั่วโลกโหวตกัน เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง (ประกาศผลเมื่อวันที่ 7 เดือน 7 ปี 2007) ก็ได้มาอีก 7 แห่ง คือ ชิเชนอิตซา, สนามกีฬาโคลอสเซียม, รูปปั้นพระเยซูคริสต์, มาชู ปิกชู, กำแพงเมืองจีน, ทัชมาฮาล และเปตรา

แต่ละแห่งล้วนยิ่งใหญ่อลังการสมกับตำแหน่งที่ได้รับ และมีคุณค่าในตัวของมันเองรวมทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมและค่านิยมของคนในยุคก่อน

แต่สิ่งที่น่าจะนับได้ว่ามหัศจรรย์ที่สุดนั้นก็คือ...มนุษย์

ทุกสิ่งที่มหัศจรรย์ล้วนรวมอยู่ในตัวมนุษย์ และมนุษย์นี่เองที่เป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ให้แก่โลกใบนี้

น่าเศร้าที่คนยุคนี้กลับถูกสิ่งมหัศจรรย์ทางวัตถุที่ตนคิดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิต ย้อนกลับมามอมเมา จนลืมนึกถึงสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน

... คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ทีวี เกมส์ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ ศูนย์การค้า และอื่นๆ อีกมากมาย...

หลายๆคนหลงใหลยึดติดกับมัน จนลืมสนใจคนรอบข้าง ลืมนึกถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
ลืมแก่นแท้ของสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆในโลกนี้ที่มนุษย์เราสร้างขึ้น และลืมแม้กระทั่งตัวตนของตัวเอง

เคยได้ยินมั้ย "จงเป็นนายของเงินทอง แต่อย่าให้เงินทองเป็นนายของเรา จงอย่าให้มันมาบงการชีวิตเรา"

เช่นกันกับทรัพย์สินทางวัตถุอื่นๆ จงเป็นนายของมัน แต่อย่าถูกมันมอมเมาจนเสียคุณค่าของความเป็นมนุษย์ไป

ล่าสุด ก็มีข่าวไปแล้ว เด็กเล่นเกมส์ เลียนแบบพฤติกรรมจากเกมส์ จนกลายเป็นฆาตกร

ผมก็ไม่รู้นะว่า นั่นเป็นแค่ข้ออ้าง หรือเป็นอย่างนั้นจริงๆ

แต่ถ้าเด็กเลียนแบบจากเกมส์จริงๆ คงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างมากสำหรับสังคมไทย

จะโทษว่าระบบไหนล้มเหลวดีล่ะ เพราะมีส่วนร่วมรับผิดกันหมดล่ะ ครอบครัว โรงเรียน สังคม รัฐบาล องค์กรภาครัฐ

แต่เค้าก็ไปโทษที่ตัวเกมส์ และบริษัทผลิตเกมส์ ตรงจุดสุดๆ 55+

นี่ล่ะนะ ที่เค้าบอกว่าคนไทยยุคนี้ขาดภูมิคุ้มกัน ไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี ใช้เป็นอย่างเดียวแต่ไม่ได้ใช้อย่างชาญฉลาด สุดท้ายก็ไปหลงไหลมัวเมากับมันจนถอนตัวไม่ขึ้น ละทิ้งจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์แล้วเอาตัวเองไปผูกติดกับเทคโนโลยีซะนั่น
(คงเป็นสิ่งที่โทลคีนพยายามจะสื่อในหนังสือ Lord of the ring สุดท้ายผู้ครอบครองแหวนก็จะถูกแหวนครอบงำกลืนกินจิตใจไป)

เพราะฉะนั้นถึงจะไปจัดการไม่ให้ผลิต/ขาย/เผยแพร่เกมส์ที่รุนแรง แต่ถ้าคนไทยยังขาดภูมิคุ้มกันต่อเทคโนโลยีต่อไป มันก็ยังมีสิ่งล่อใจใหม่ๆเข้ามาเรื่อยๆ ก็แก้ปัญหาต่อไปไม่จบสิ้น

ผมว่าครอบครัวกับโรงเรียนนี่ละสำคัญที่สุดที่จะปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ ให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี และรู้ว่าคนเราเกิดมาควรให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน

มาเข้าเรื่องสิ่งมหัศจรรย์ต่อดีกว่า

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างมากในชีวิตคือ การที่วันนี้เราตื่นขึ้นมา แล้วได้มองเห็นภาพที่สวยงาม ได้รับฟังสิ่งดีๆ ได้โอบกอดคนที่เรารัก ได้รับประทานอาหารอร่อยๆ มีความรู้สึกดีๆกับคนรอบข้าง รู้สึกสนุกและได้หัวเราะ และการมีความรัก รักพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรัก สัตว์เลี้ยง และเพื่อนร่วมโลก

บางท่านอาจเถียงว่า ก็แน่ล่ะที่มันจะเป็นสิ่งอัศจรรย์ในชีวิต เพราะในชีวิตจริงก็ไม่ค่อยได้เจอสิ่งสวยงามอย่างนี้อยู่แล้ว 55+

แต่อยากบอกว่า เราเลือกที่จะเป็นได้ โดยเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน ทำสิ่งดีๆ มอบสิ่งดีๆ และเผยแพร่ความรู้สึกดีๆให้แก่คนรอบข้าง สุดท้ายสิ่งดีเหล่านี้จะย้อนกลับมาหาตัวเราเอง

มีภาษิตฝรั่งอันหนึ่ง ที่อาจจะดูงงๆ แต่ก็โดนใจมาก

"You will get more than you give, when you give more than you get."

"คุณจะได้รับมากกว่าที่คุณให้ เมื่อคุณให้มากกว่าที่ได้รับ"

ดังนั้น เริ่มต้นมอบสิ่งดีๆ ให้คนรอบข้างกันเถอะ

เพียงแค่ยิ้มหรือพูดให้กำลังใจก็มีคุณค่ามากแล้วสำหรับคนที่กำลังเป็นทุกข์

วันนี้คุณบอกรักพ่อแม่ ได้โอบกอดพวกท่านบ้างหรือยัง

กับคนที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้จักกัน เรามาลองแบ่งปันน้ำใจให้กันซักนิดดีมั้ย

อย่างที่เด็กหญิงในเรื่องบอก

สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ในชีวิตของเธอ คือ การที่เธอได้เห็น ได้ฟัง ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส ได้รู้สึก ได้ยิ้มหัวเราะ และการได้รัก

บางครั้งเราอาจจะเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีความสำคัญ หรือเป็นสิ่งที่แสนจะธรรมดา ไม่หวือหวาเหมือนเกมบู๊ล้างผลาญ

แต่อย่าลืมว่า...

...การได้มองเห็น ได้ยินสิ่งที่สวยงาม ทำให้มนุษย์เกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมชิ้นเอก ปฏิมากรรมที่งดงาม และเพลงอันไพเราะมากมาย

...ด้วยอานุภาพแห่งความรัก จึงทำให้เกิดทัชมาฮาล สุสานหินอ่อนที่งดงาม ที่สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่นางอันเป็นที่รัก

ผมว่า สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราให้ความสำคัญกับสิ่งมหัศจรรย์ภายในตัวของเราเอง

สุดท้ายนี้ ก็คาดหวังให้ทุกท่านที่บังเอิญหลงแวะมาเยี่ยมชมบทความชิ้นแรกของบล็อกนี้ ขอให้ได้สิ่งดีๆกลับไป

ต่อไปนี้ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ขอให้รู้สึกชื่นชมยินดีกับการได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ที่เด็กน้อยในเรื่องนี้ช่วยเตือนสติให้ได้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง

เนื่องจาก เทคโนโลยีในโลกนี้ ล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์
ฉะนั้นจงใช้มันอย่างชาญฉลาด (เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตตามอัตภาพ) แต่อย่าให้มันมาบงการคุณให้เสียความเป็นตัวตนและความเป็นมนุษย์ไป

ขอให้มีความสุขกับการใช้ชีวิตนะครับ