วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทันโลกทันคน กับวิทยุต แสงโสภิต

....

จากเพลง "ป่าลั่น"

แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่
พวกเราแจ่มใสเหมือนนกที่ออกจากรัง
ต่างคนรักป่าป่าคือความหวัง
เลี้ยงชีพเรายังฝังวิญญาณนานไป
ตื่นเถิดหนาอายนกกามันบ้าง
แผ่นดินกว้างขวางถางคนละมือละไม้
รอยยิ้มของเมียชะโลมฤทัย
ซับเหงื่อผัวได้ให้เราจงทำดี
เสื้อผ้าขี้ริ้วปลิวเพราะแรงลมเป่า
กลิ่นไอพวกเราเขาคงจะเดินเมินหนี
คราบใดไหนเล่าเท่าคราบโลกีย์
เคล้าอเวจีหามีใครเมินมัน

....


เป็นมนุษย์ เป็นได้เพราะใจสูง
เหมือนดังยูง มีดีที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตนได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
ถ้ามีครบ ควรเรียกมนุสสา
เพราะทำถูก พูดถูกทุกเวลา
เปรมปรีดา คืนวันสุขสันติ์จริง
ใจสกปรก มืดมัวและร้อนเร่า
ใครมีเข้า ควรเรียกว่าผีสิง
เพราะพูดผิด ทำผิดจิตประวิง
แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอุบาย
คิดดูเถิด ถ้าใครไม่อยากตก
จงรีบยก ใจตนรีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ก่อนตัวตาย
ก็สมหมาย ที่เกิดมาอย่าเชือนเอย ฯ

คำกลอนธรรมะจากท่านพุทธทาสภิกขุ
....

เช้าวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกนึกย้อนไปถึงบรรยากาศเก่าๆ วันเก่าๆ เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว สมัยยังเป็นเด็กนักเรียนหัวเกรียน อาจเป็นเพราะวันนั้นผมตื่นเช้ากว่าปกติ ราวๆ 6 โมง บรรยากาศธรรมชาติรอบตัวกำลังสดชื่น ท้องฟ้าสีครามหม่นๆเพราะดวงอาทิตย์ยังสาดแสงไม่เต็มที่ให้ความรู้สึกเย็นสบาย เสียงนกร้องกังวานแว่วมาเป็นระยะ กลิ่นอายของน้ำค้างและดินชวนให้นึกถึงวันวานในอดีต

สมัยก่อนที่บ้านผมมักจะเปิดวิทยุตอนเช้า ฟังวิทยุไปทำงานไป ช่วงประมาณ 6 โมงเช้าจะฟังรายการ "ทันโลกทันคน" ดำเนินรายการโดยคุณวิทยุต แสงโสภิต ซึ่งเป็นเวลาที่ผมตื่นพอดีเพื่ออาบน้ำกินข้าวเตรียมตัวไปโรงเรียน (ก่อนหน้านั้น ประมาณตี 5 มีรายการของ ทวน ทักษิณ ซึ่งเป็นที่น่าเสียใจว่าผู้จัดรายการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งมา 3 ปีแล้ว) ผมจึงได้ฟังเพลง "ป่าลั่น" ซึ่งเป็นเพลงเริ่มรายการทันโลกทันคน ฟังคุณวิทยุตอ่านบทกลอนธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ และเล่าข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจ ซึ่งถ้าเทียบจากความรู้สึกของผมในสมัยนั้น คิดว่าถ้า "ทันโลกทันคน" ยังคงมีอยู่ คงเป็นคู่แข่งที่สูสีกับรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของคุณสรยุทธแน่ๆ หากแต่ว่า "ทันโลกทันคน" เป็นเพียงรายการวิทยุท้องถิ่นของชาวสุราษฏร์ธานีเท่านั้นเอง ไม่ได้ออกอากาศไปทั่วประเทศ จึงคงยังไม่โด่งดังเท่า "เรื่องเล่าเช้านี้"

น่าเสียดายว่า "ทันโลกทันคน" ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันจนถึงปัจจุบัน (หรืออาจจะมีอยู่ แต่เปลี่ยนผู้จัดรายการ ผมก็ไม่ทราบ) ช่วงหนึ่งคุณวิทยุตได้นำข่าวการทุจริตจัดซื้อที่ดินทิ้งขยะของเทศบาลเมืองสุราษฏร์ธานีมาออกอากาศ แต่ไม่เพียงเล่าข่าวครั้งเดียวแล้วจบกัน (อย่างหลายข่าวในหลายๆสื่อ ที่ออกตอนเดียวแล้วหายไป ไม่รู้ความคืบหน้า) คุณวิทยุตก็ยังคงพูดถึงในรายการ "ทันโลกทันคน" อยู่เกือบทุกวัน เอาความคืบหน้ามาเล่าสู่กันฟังตลอด ว่ามีการสอบสวนกันถึงไหน เป็นอย่างไรบ้าง รวมทั้งรายละเอียดของเรื่องราวการทุจริตซื้อที่ดินครั้งนี้ ซึ่งเท่าที่จำได้คือเทศบาลจัดซื้อที่ดินในราคาสูงมากกว่าความเป็นจริง และยังเป็นที่ดินที่ถนนเข้าไม่ถึงด้วย

จนวันหนึ่งคุณวิทยุตเล่าใน "ทันโลกทันคน" ว่ามีคนข่มขู่ไม่ให้พูดถึงเรื่องการทุจริตจัดซื้อที่ดินของเทศบาล ซึ่งผมก็จำไม่ค่อยได้ว่าข่มขู่ด้วยวิธีไหน จะเขียนข้อความข่มขู่ วางระเบิดปลอม หรือมีถุงขี้อยู่หน้าบ้าน ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ที่แน่ใจคือ คุณวิทยุตยังคงรายงานข่าวนี้ต่อไป แต่ก็ลดระดับและความถี่ลงมาบ้าง ในท้ายที่สุด คุณวิทยุตก็ถูกดักยิงเสียชีวิตหน้าสำนักงานขณะกำลังเตรียมจัดรายการ "ทันโลกทันคน"

นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในจังหวัดสุราษฎร์ธานีเมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าอำนาจอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นและการคุกคามสื่อมีอยู่จริง แม้แต่ในเขตเทศบาลเมืองซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่มีความเจริญที่สุดในจังหวัด แล้วองค์กรอย่าง อบต. ที่อยู่ห่างไกลส่วนกลางล่ะ ปัจจุบันประชาชนคนไทยพร้อมมากน้อยแค่ไหนกับการปกครองส่วนท้องถิ่น? ได้แต่หวังว่าองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นจะไม่กลับกลายเป็นแก๊งค์ผู้มีอิทธิพลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ และจัดการด้วยวิธีป่าเถื่อนกับผู้ที่พยายามเปิดโปงความจริง?

ก็ได้แต่หวังว่าพี่น้องคนไทยจะเลือกคนดีมีวิชาเข้ามาปกครองบ้านเมือง ในทุกๆระดับ ทั้งระดับประเทศและในท้องถิ่น ไม่ใช่เลือกนักเลงผู้มีอิทธิพลเข้ามามีอำนาจ สูบเลือดสูบเนื้อสูบเงินภาษีอากรของคนไทยเพื่อความมั่งคั่งของตนเองและพวกพ้อง

ไม่รู้ว่าความคืบหน้าของคดีการลอบยิงคุณวิทยุตไปถึงไหนแล้ว และจัดการกับคนผิดได้หรือยัง แต่ผมก็ยังเชื่อว่าความยุติธรรมในโลกนี้ยังมีอยู่จริง และอำนาจศาลจะไม่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก่อนกรุงแตก

อันชาติใดไร้รักสมัครสมาน
จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้นชาติย่อยยับอับจน
ประชาชนจะสุขอยู่อย่างไร

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

บทที่ 1 จาก..เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

....
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
....
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
....
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง
สาระพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราช
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
....
กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จนสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ
....

บทที่ 2 ฝันกลางวัน กับความฝันอันลางเลือน

....
ปลายสมัยอาณาจักรอยุธยา
บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย
ศีลธรรมของผู้คนตกต่ำลง
มีการแย่งชิงราชสมบัติกันบ่อยครั้ง
ญาติพี่น้องรบกันเองเพื่อแย่งอำนาจที่ไม่มีวันเพียงพอ และไม่เคยยั่งยืน
....
ขุนนางเก่งในรัชกาลก่อนถูกกำจัดด้วยเกรงว่าจะไม่จงรักภักดี
ขุนนางดีถูกใส่ร้ายป้ายสี และไม่ได้รับการยอมรับนับถือ
ขุนนางชั่วเถลิงอำนาจ สร้างสมความเสื่อมให้แก่บ้านเมือง เพื่อให้บรรลุซึ่งผลประโยชน์ของตน
กษัตริย์ไร้ความสามารถ ขาดทศพิธราชธรรม เชื่อฟังคำของขุนนางกังฉิน
....
อาณาจักรเริ่มขาดความสามัคคี ไร้ซึ่งความมั่นคง
ต่างคนต่างคิดถึงเพียงความสุขส่วนตน ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจ
ผู้นำหลงไหลในกามารมณ์ แต่ละวันคิดเพียงแต่จะสรรหาความสุขสนุกสำราญ
ความสุข... ที่เป็นเพียงภาพมายา บนกองทุกข์ของประชาชนทั้งอาณาจักร
อนิจจา... น้อยคนนักที่จะคิดถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง
....
ข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
แต่ขุนนาง ผู้มีอำนาจวาสนา กษัตริย์และบรรดาญาติพวกพ้องทั้งหลายเสพสุขกันไม่สิ้นสุด
อาณาจักรใกล้เคียงต่างแข็งเมือง ตีตัวออกห่าง เมื่อเล็งเห็นถึงความเสื่อมของอยุธยา
ความเสื่อมของอาณาจักรอยุธยานี้ เย้ายวนชวนให้เข้ายึดครองยิ่งนัก
....
การยึดบ้านยึดเมืองนั้น
ยึดดินแดนยามศัตรูเปลี่ยนผู้นำ..
ยามศัตรูอ่อนแอ..
ยามศัตรูแตกแยก ขาดความสามัคคี ขาดความเป็นปึกแผ่น
ยามศัตรูถึงที่สุดของความเสื่อม
นับเป็นยอดกุศโลบาย
....
แม้ในยามศึกสงครามผู้คนยังคงคิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นใหญ่
เงินทอง อำนาจบารมี ผลประโยชน์ ความสุขสบาย ความปลอดภัย และชีวิตของตน
แม้เสียเกียรติเป็นไส้ศึกให้ หรือขายชาติก็ยอม!
ช่างเป็นบ้านเมืองที่เสื่อมถึงที่สุดแล้วจริงๆ
....
เสียงปืนใหญ่ของพม่ายิงกระหน่ำไม่ขาดสาย
แต่ฝ่ายไทย...เงียบ
เพียงเพราะกษัตริย์กลัวฝูงสนมมเหสีตื่นตกใจเสียงปืนใหญ่ฝ่ายตัวเอง
ผู้คนล้มตายเป็นผักปลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลบฝัง
เสียงปะทะของดาบโล่และศาสตราวุธนานาชนิด มีอยู่ตลอดเวลา
ทุกนาทีมีคนตาย ทหารหาญต้องพลีชีพ คนดีคือผู้เสียสละ
ส่วนคนที่เหลือนั้นรอคอยฉกฉวยโอกาสจากความพินาศของบ้านเมือง และหาช่องทางเอาตัวรอด
ในที่สุด กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก ตกเป็นเมืองขึ้นนาน 15 ปี...
....

บทที่ 3 ตื่นกับฝันต่างกันฉันใด?

ในโลกแห่งความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ช่างคลับคล้ายคลับคลาราวกับประสบการณ์เดจาวู ความฝันนั้นช่างโหดร้าย เป็นยุคที่เสื่อมทรามที่สุดยุคหนึ่งของดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทย แต่นั่นก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานนมมาแล้ว เป็นเพียงหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานของอารยธรรมมนุษย์ แต่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในอดีตกับเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้จะไม่เหมือนกันซักทีเดียว ซึ่งอย่างน้อยก็มีระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนกัน แต่ฉันก็หวั่นกลัวอยู่ลึกๆ กลัวอย่างไม่มีเหตุผล (หรืออาจจะมีเหตุผลที่ซับซ้อนซักอย่างอยู่ภายในจิตใต้สำนึก?) ที่ฉันกลัว คือกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม เพียงแต่แตกต่างในบริบทและรายละเอียดปลีกย่อย หรือกรุงใกล้จะแตกอีกครั้ง เราจะต้องเสียดินแดนอีกหรือ?

วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เมื่อ Clamwin สิ้นท่า พ่ายต่อไวรัส Sality

เป็นธรรมดาของโปรแกรมกำจัดไวรัสทุกตัวที่จะต้องมีจุดอ่อน มีช่องโหว่ ตรวจจับและจัดการไวรัสบางตัวไม่ได้ (บางทียังไปกล่าวหาไฟล์ปกติของเราเองว่าเป็นไวรัสอีก 55+) ถึงแม้ผู้พัฒนาโปรแกรมจะพยายามกำจัดจุดอ่อนที่มีอยู่อย่างไร แต่ก็คงไม่มีวันหมด ยังคงต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ทันต่อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นทุกวัน ดังนั้นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ก็ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย ลดพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้ติดไวรัสคอมพิวเตอร์ได้ง่าย ถ้าติดตั้งโปรแกรมกำจัดไวรัสไว้แล้ว ก็ควรหมั่นอัพเดตฐานข้อมูลไวรัสอยู่เสมอๆ ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้ตามยถากรรม แล้วมาโทษมันทีหลังว่าไม่ช่วยกันเลย ทั้งๆที่ต้นเหตุสำคัญน่าจะมาจากตัวผู้ใช้มากกว่า

อย่างที่เคยเขียนถึงโปรแกรม Clamwin Antivirus มาแล้วว่ามันมีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน อย่างหนึ่งที่เห็นชัดคือมันไม่ได้ทำงานแบบ real time คือไม่ได้ตรวจจับไวรัสให้อัตโนมัติ เราต้องสั่งสแกนไวรัสเอง (เป็นความไม่สะดวกสบายของผู้ใช้อย่างผมเองน่ะ 55+ รวมทั้งเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ติดไวรัสไปแล้วถึงค่อยมาจัดการทีหลัง ไม่ได้ป้องกันไว้เลย ดังนั้นผมว่าแคลมวินคงมีบทบาทเป็นเพียงพระรอง เป็นตัวช่วยเสริม และมีไว้ใช้ใน USB แฟลชไดร์ฟ กรณีที่ต้องไปทำงานกับคอมพิวเตอร์แปลกหน้าที่ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ) แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดถึงวันนี้ จากที่ผมลองใช้เจ้า Clamwin antivirus นี้ดู ก็ค่อนข้างพอใจกับมันที่สามารถกำจัดไวรัสใน USB flash drive ได้ดี โดยเฉพาะ Brontok A ที่แพร่ระบาดมากผ่านทาง USB แฟลชไดร์ฟ ซึ่งผมโดนบ่อย พึงระลึกไว้ว่า แต่ละที่ แต่ละคน มีโอกาสเจอไวรัสได้ไม่เหมือนกัน ดังนั้น Clamwin อาจจะใช้ได้ผลในที่หนึ่ง แต่ในอีกที่อาจได้ผลไม่ดีก็เป็นได้ ถ้าดันไปเจอไวรัสตัวที่มันกำจัดไม่ได้ ซึ่งในที่สุด Clamwin ของผมก็ได้เจอกับคู่ปรับตัวฉกาจ ที่ Clamwin ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ตรวจหาไวรัสก็ไม่เจอ หนำซ้ำ Clamwin ยังโดนมันโจมตีเองเสียอีก (ยังกะเชื้อ HIV โจมตีระบบภูมิคุ้มกันคน)

ผมมาทราบทีหลังว่าไวรัสที่เจอนี้มีชื่อว่า Sality (เป็นไวรัสที่แพร่กระจายทางแฟลชไดรฟได้) โดยวิธีการง่ายๆถ้าอยากรู้ว่าไฟล์ต้องสงสัยนั้นติดไวรัสอะไร หรือเป็นไวรัสอะไร ทำได้โดยเข้าเว็บไซต์นี้ครับ
http://www.virustotal.com/ และทำการส่งไฟล์ต้องสงสัยนั้นเข้าไป เว็บไซต์นี้จะใช้โปรแกรม Antivirus ทุกชนิดเท่าที่จะหาได้มาตรวจไฟล์นี้ให้ครับ (แต่ไม่ได้ช่วยกำจัดไวรัสให้) และจะแสดงผลให้ดูว่ามีโปรแกรมไหนบ้างที่บอกว่าไฟล์นี้เป็นไวรัสอะไร และบางโปรแกรมก็อาจจะบอกว่าไฟล์นั้นไม่ใช่ไวรัส เราก็จะดูผลโดยรวม ประเมินว่ามันน่าจะเป็นไวรัสรึเปล่า น่าจะเป็นซักกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อดีอีกอย่างคือเราจะได้รู้ว่ามีโปรแกรมไหนบ้างที่สามารถจัดการเจ้าไวรัสที่เราเจออยู่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าจากการทดสอบของผม โปรแกรม Clam AV (ซึ่งมีฐานข้อมูลไวรัสเหมือนกับ Clamwin) ตรวจไม่เจอไวรัส Sality

สำหรับอาการของแฟลชไดร์ฟหลังจากที่ติดไวรัส Sality นั้น ผมเจอไฟล์ชื่อแปลกๆหลายไฟล์ (อ่านชื่อไม่ออกด้วย) เมื่อลบมันทิ้ง ก็มีไฟล์ใหม่เกิดขึ้นมา แล้วชื่อมันเปลี่ยนไปด้วยอ่ะ และก็มีไฟล์ชื่อ Autorun.inf ประมาณว่ามันจะเป็นตัวสร้างไฟล์ชื่อแปลกๆพวกนั้นโดยการสุ่มตัวอักษรมาตั้งเป็นชื่อไฟล์มั้ง ซึ่งโดยปกติแล้วในแฟลชไดร์ฟผมจะมีโปรแกรม CPE17 Autorun killer ใช้กำจัดพวกไวรัส Autorun (ที่โปรแกรมป้องกันไวรัสส่วนใหญ่มักมองข้าม จัดการไม่ได้) แต่ก่อนก็ใช้ได้ผลอยู่นะ กำจัดไวรัสที่ตั้งไฟล์ชื่อ Autorun.inf ได้ดี แต่มาคราวนี้มันกลับใช้ไม่ได้ผล แล้วเวลาสั่งมันสแกนเพื่อกำจัดไวรัส autorun โปรแกรมยังค้างอีก เหอๆ นอกจากนี้ยังเปิดโปรแกรม Clamwin ขึ้นมาไม่ได้ด้วย ดูเหมือนว่ามันจะมีผลต่อไฟล์นามสกุล .exe (โปรแกรมทั้งหลายรวมทั้งโปรแกรมกำจัดไวรัสด้วย) โดยไวรัสจะไปฝังตัวอยู่ที่ไฟล์ .exe เหล่านี้ ซึ่งผมสังเกตเห็นว่าไฟล์ .exe ที่ใช้เปิดโปรแกรม Clamwin มีขนาดใหญ่กว่าเดิม (จาก 114 kb เป็น 188 kb) นี่ตอนที่ผมไปดับเบิ้ลคลิกมันก็อาจจะทำให้ไวรัสมันทำงานต่อก็เป็นได้

นั่นคือประสบการณ์ที่ผมเจอมากับเจ้าไวรัส sality ครับ ร้ายกาจจริงๆ ถ้าลองค้นหาด้วยกูเกิ้ลก็จะมีคนบอกเล่าเรื่องราวการเจอเจ้าไวรัสตัวนี้มากมาย รวมทั้งวิธีการกำจัดมันด้วย ผมก็เจอข้อมูลไวรัสตัวนี้ ซึ่งคนเขียน เขียนไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว อ่านเพิ่มเติมกันดูนะครับ
ที่นี่
http://www.webphand.com/sality/

วิธีการกำจัดไวรัส Sality
- ลองอัพเดตโปรแกรมป้องกันไวรัสในคอมพิวเตอร์ของคุณดูก่อน (ถ้าไม่ได้อัพเดตมานาน) และเท่าที่ผมทราบโปรแกรมป้องกันไวรัสที่สามารถจัดการไวรัส Sality ได้ ได้แก่ Kaspersky, McAfee, Symantec, Doctor Web, Sophos, Trend Micro, FRISK, ALWIL, Grisoft, Softwin, Panda, และ Eset (NOD32) สำหรับลิงค์เข้าเว็บไซต์ของโปรแกรมเหล่านี้ เข้าไปดูได้ที่นี่
http://gotoknow.org/blog/ekkawits/197696
- Win32/Sality remover 1.1.0.153 ดาวน์โหลดมาใช้ได้ฟรี (พัฒนาโดย Grisoft)
http://www.softpedia.com/get/Antivirus/Win32-Sality-Remover.shtml
- วิธีการที่ยากขึ้นมาหน่อย เหมาะสำหรับคนที่เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์
http://www.spywareremove.com/removeSality.html

ถ้ามีข้อสงสัยหรือมีอะไรผิดพลาดช่วยท้วงติงด้วยนะ ขอบคุณมากครับ

วันอังคารที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แด่..เหยื่อเดือนตุลา 51

ประวัติศาสตร์ไม่เคยสอนคนไทยเลยหรือว่าการใช้ความรุนแรงเข้าหากัน มีแต่ความพินาศของทุกฝ่ายและไม่เคยแก้ปัญหาใดๆ

สุดท้าย เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็คือประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่ห้ำหั่นกันเองอย่างดุเดือด อย่างขาดสติ

โดยเฉพาะประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้มีอุดมการณ์รักชาติ ที่อยากเห็นเมืองไทยพัฒนาก้าวหน้า กลับต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยในเหตุการณ์ที่มีต้นเหตุมาจาก ความต้องการอำนาจบารมีและผลประโยชน์ส่วนตัวของคนบางกลุ่ม

ส่วนตัวต้นเหตุ ผู้บงการ ผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ปลุกปั่น ตัวหัวหน้า มือที่มองไม่เห็น มือที่สามหรือจะเรียกยังไงก็แล้วแต่ก็ยังปลอดภัยดี

สถานการณ์ ณ เวลานี้ ยังคลุมเครือ มีประชาชนเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งสองฝ่าย

ไม่อาจตัดสินได้ว่าใครผิดใครถูกอย่างชัดเจน ตำรวจใช้ความรุนแรงมากเกินกว่าเหตุก่อน? อาวุธสงคราม ปืน ระเบิด (ทั้งลูกเกลี้ยง ระเบิดปิงปอง ระเบิดขวด) มาจากไหน เพราะความสูญเสียที่เกิดขึ้นมันมากกว่าจะเกิดจากแก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียว? ตำรวจนำมาใช้? พันธมิตรบางคนแอบพกมา? มาจากมือที่สาม อย่างพวกนักเลง จ้างวานมาสร้างความรุนแรงปั่นป่วน หรือนปก.? ในฐานะผู้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ทำได้เพียงสันนิษฐานจากการติดตามสื่อต่างๆว่า จากความรุนแรงโหดร้ายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยั่วยุให้พันธมิตรใช้กำลังตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยละทิ้งสันติอหิงสา(เวอร์ชั่นพันธมิตร)ไปเสียสิ้น ทั้งใช้ไม้ไล่ทุบตี แทง และยิงใส่ตำรวจ รวมทั้งมีภาพเด่นประจำหนังสือพิมพ์ที่มีพันธมิตรขับรถชนแถวตำรวจจนกระเจิง และถอยรถกลับมาทับซ้ำ! ทั้งหมดนี้ผมเชื่อว่าคงเป็นพันธมิตรแค่บางส่วนที่ทำเช่นนั้น แต่ส่วนใหญ่ (ซึ่งเป็นประชาชนธรรมดาที่รักชาติอย่างบริสุทธิ์ใจ) น่าจะเป็นผู้ถูกกระทำมากกว่า ทั้งแสบหน้าแสบตาจากแก๊สน้ำตาและหนีการสลายการชุมนุมของตำรวจ

แต่ที่แน่นอนนั้นคือชีวิตคนไทยที่สูญเสียไปโดยไม่อาจทวงคืนกลับมาได้ และน้ำตาแห่งความเศร้าเสียใจของผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป รวมทั้งคนไทยอีกมากมายที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส บางคนถึงกับเสียอวัยวะสำคัญ

ชีวิตคนไทยที่สูญเสียไปมีคุณค่ามากเกินกว่าเงินช่วยเหลือไม่กี่บาท หรือคำยกย่องว่าเป็นวีรชนนัก !

ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียใจกับการบาดเจ็บและเสียชีวิตของผู้คนในเหตุการณ์นี้ ทั้งประชาชนฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายตำรวจ

ขอให้เหตุการณ์คลี่คลายในเร็ววัน และขออย่าได้มีผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเลย

ขอแสดงความยกย่องนับถือจากใจต่อผู้มีอุดมการณ์รักชาติไทย หวังดีต่อชาติและทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง ส่วนผู้รักชาติเพียงแค่ลมปาก (โดยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง) ผู้บงการอยู่เบื้องหลังที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ คงรู้อยู่แก่ใจ ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย รวมทั้งทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ มีการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551

กรรมของเหี้ย

วันนี้ขอสวมบทบาทเป็นนักปกป้องสิทธิเหี้ยกันหน่อยหลังจากเห็นเหี้ยถูกทารุณกรรมมานานโดยเฉพาะแถวๆทำเนียบรัฐบาล สมัยนี้คนจะด่ากันทำไมต้องด่าว่าเหี้ย คงเป็นเพราะว่าชาวบ้านเห็นเหี้ยมีนิสัยเป็นนักฉกฉวยโอกาส ชอบขโมยกินสัตว์เลี้ยงชาวบ้าน (บางทีก็เรียกมันว่าตัวกินไก่) กินได้ทุกอย่าง ไม่เลือกว่าจะสดๆหรือเน่าไปแล้ว บางทีก็ไปขโมยไข่ของสัตว์อื่นกิน เปรียบได้กับคนบางคนที่มีนิสัยดังที่ว่ามานี้ เลยด่าคนผู้นั้นว่า "เหี้ย" ซึ่งเหี้ยก็อยู่ของมัน เป็นสัตว์เดียรัจฉาน มีนิสัยแบบนั้นของมัน ต้องลักกินขโมยกินเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้มารับรู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนมนุษย์ แต่คนเราก็เอาชื่อมันมาใช้เป็นคำไม่สุภาพ มองว่าเหี้ยเป็นตัวอัปมงคลไป แล้ววันดีคืนดีเหี้ยเกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศร่วมรัก ออกมาโชว์กลางแจ้งให้คนได้อิจฉากันบ้าง ก็บังเอิญตรงกับช่วงจัดตั้งรัฐบาล เลยกลายเป็นลางร้ายไปซะนี่ การรวมตัวของพรรคการเมืองหรือคนบางกลุ่มในช่วงเวลานั้นเลยอุปมาเหมือนเหี้ยผสมพันธุ์กัน ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็เป็นสิทธิของเหี้ยที่จะผสมพันธุ์กันไม่ได้เดือดร้อนอะไรใคร ที่น่าเป็นห่วงกว่าก็ควรไปห่วงพวกเด็กนักเรียนนักศึกษาที่สมัยนี้มีแนวโน้มว่าจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร หรือไม่ก็พระมั่วกับสีกา อันนั้นเป็นปัญหาที่น่าห่วงกว่าเยอะ การเห็นเหี้ยผสมพันธุ์กันน่าจะดีใจมากกว่า ว่ามันกำลังเพิ่มลูกหลานประชากรเหี้ยให้เมืองไทยของเรา เชื่อมั้ยว่าเหี้ยนี่ก็เป็นตัวชี้วัดสิ่งแวดล้อมที่ดีอย่างหนึ่งนะ ที่ใดมีเหี้ยอยู่อาศัยแสดงว่าที่นั่นมีความอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นเราควรอนุรักษ์เหี้ยเอาไว้ให้ลูกหลานได้เชยชมมันต่อไป อย่าให้เหลือแต่เพียงรูปถ่าย เดี๋ยวนี้เหี้ยก็หาดูได้ยากขึ้นทุกที อยากเห็นก็ไปดูได้ตามสวนสัตว์เช่นเขาดิน หรือที่มหาวิทยาลัยศิลปากรก็มีเยอะ เพราะที่นั่นเป็นธรรมชาติมาก มีน้ำมีปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ มากถึงขนาดมันมาเดินเล่น นอนเล่นบนถนนก็มี จนโดนรถทับไส้แตก ซึ่งการรังเกียจเหี้ยหรือเอาชื่อเหี้ยมาใช้ในทางที่ไม่ดีก็ยังไม่เท่าไรเพราะเหี้ยมันคงไม่สนใจหรอกว่าคนจะมองมันยังไง แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับชะตากรรมเหี้ยผู้น่าสงสารคือ โดนมนุษย์ทารุณกรรม ไล่ยิงหนังสติ๊ก ถูกจับแขวนคอ เอามามัดทรมานเล่น โดนจับกิน (เค้าว่ากันว่าเนื้อเหี้ยอร่อยยิ่งนัก) และที่สำคัญคือมนุษย์ทำลายธรรมชาติ ตัดไม้ทำลายป่า ทิ้งของเสียลงแหล่งน้ำ จนที่อยู่อาศัยของเหี้ยลดน้อยลงทุกที จนในอนาคตอาจเกือบสูญพันธุ์ กลายเป็นสัตว์สงวนไปก็ได้ ใครจะไปรู้ ซักวันหนึ่งขาดเหี้ยไปแล้วเธอจะรู้สึก คนแถวทำเนียบนี่ก็ไม่ค่อยจะแบ่งแยกได้นะว่าตัวไหนคือศัตรูของประชาชนที่แท้จริง คำว่าเหี้ยเป็นแค่คำเปรียบเทียบ ไม่ควรจะไปตีตราว่ามันเลวเหมือนคนที่ถูกด่าว่าเหี้ย อย่าไปอินกับคำปราศรัยบนเวทีให้มากนัก เอาเวลาไปไล่คนที่ควรไล่ก็เหมาะสมดีแล้ว แต่อย่ามาทรมานเหี้ย ไล่ยิงเหี้ยเพื่อความสะใจ ให้มันกลายเป็นเหี้ยรับบาป อย่าให้เหี้ยเป็นที่รองรับอารมณ์คนเลยนะ สงสารมัน ปล่อยให้มันอยู่อาศัยในธรรมชาติอย่างสงบเถอะ ที่จริงแล้วเหี้ยมีอีกหลายชื่อ ไพเราะทั้งนั้น บางทีก็เรียกตัวเงินตัวทอง ชื่อฟังเป็นมงคลดี น่าจะเอามาเป็นสัตว์เลี้ยงประดับร้านค้า แต่คนก็ยังเอามาใช้ด่ากันเหมือนคำว่าเหี้ย บางทีคนก็ด่ากันเองว่าอีดอก เพราะเหี้ยจะมีดอกทองเป็นลวดลายอยู่บนหลังมัน ดูสวยงามน่ารักน่าชัง ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์ของมันคือ Varanus salvator อันนี้คนชื่อวรนุชอาจจะสะดุ้ง เพราะดันมาพ้องกันพอดี ไม่รู้คนตั้งชื่อนี้ชื่อคุณวรนุชรึเปล่านะ หรือคนตั้งชื่อเกลียดคนชื่อวรนุชก็ไม่ทราบ ส่วนชื่อภาษาอังกฤษมันคือ Water monitor คงเพราะมันชอบว่ายน้ำเล่น ส่วนทางภาคเหนือกับใต้อาจจะเรียกสัตว์จำพวกนี้ว่าแลน แต่อย่างไรตาม "เหี้ย" ก็น่าจะได้รับการโหวตว่าเป็นสัตว์ที่น่าสงสารที่สุดในประเทศไทย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเลวไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร โดยไม่มีโอกาสให้แก้ตัวเลย ทำไมถึงทำกับเหี้ยด้ายยย...

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ

อะไรเอ่ย คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ? คำตอบของแต่ละคนอาจจะหลากหลายกันไปตามประสบการณ์ที่เคยมีมา แต่ที่ผมจะเฉลยคือ "โลงศพ" ไงครับ โลงศพนี่ผู้ซื้อคงไม่ค่อยอยากจะใช้ซักเท่าไรนัก ส่วนผู้ใช้ถ้าลุกมาซื้อโลงศพให้ตัวเองได้ก็แปลกดีเหมือนกัน กรณีคนซื้อกับคนใช้เป็นคนเดียวกัน ที่เป็นไปได้คือซื้อโลงศพเตรียมไว้ให้ตัวเองตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่าเตรียมตัวต้อนรับความตายไว้แล้วเป็นอย่างดี ก็มันเป็นสัจธรรมของชีวิตล่ะนะที่ความตายมาเยือนเราทุกคนได้ทุกเมื่อ จึงควรมีสติอยู่ตลอดเวลา (โดยมีโลงศพเตือนใจอยู่ข้างๆ) ภาษาทางธรรมก็เรียกว่า เจริญมรณสติ ที่เขียนถึงก็ไม่มีอะไรมาก สืบเนื่องจากกูเกิ้ลอนุญาตให้เว็บไซต์ภาษาไทยติดโฆษณาของกูเกิ้ลได้แล้ว หรือที่เรียกกันว่า "Adsense for content" นั่นเอง ซึ่งโฆษณาที่จะปรากฎขึ้นในแต่ละเว็บแต่ละหน้า จะสอดคล้องกันกับเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นๆ เช่นเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงก็จะมีโฆษณาอาหารสัตว์ขึ้นมาให้ประมาณนั้น ไฮเทคดีมั้ยครับ ดีกว่าเป็นโฆษณาอะไรก็ไม่รู้ ทั้งขัดกับหน้าเว็บไซต์และรำคาญคนอ่าน ซึ่งบางทีก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเรื่องราวในเว็บไซต์นั้นเลย เมื่อโฆษณาไม่ตรงกับความสนใจของผู้อ่าน มันก็ไร้ค่าเปลืองค่าติดโฆษณาเปล่าๆ ที่เห็นเยอะมากๆ ก็พวกโฆษณาลดน้ำหนัก กับ Work at Home ชักชวนให้ทำงานที่บ้านผ่านทางอินเทอร์เน็ต (บางคนก็เสียดสีเรียกมันว่า Work at Hell) กูเกิ้ลก็ใช้หลักการตลาดง่ายๆ คือนำเสนอโฆษณาที่ผู้พบเห็นน่าจะสนใจ เหมือนกับเวลาเซลล์แมนไปขายของก็ต้องมีกลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่นำเสนอขายดะ แบบนั้นเปลืองน้ำลาย เสียเวลา และเผลอๆจะขายไม่ได้เลยด้วย แต่การจะขายสินค้าให้ได้นั้น มันต้องทำให้เขาเกิดความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะซื้อ คือต้องนำเสนอสินค้าให้ตรงกับความต้องการใช้งานของลูกค้า ให้ลูกค้าเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้จากการซื้อสินค้าชิ้นนั้น เขาถึงจะซื้อสินค้าเราไงล่ะ ง่ายๆแค่นี้ พูดง่ายแต่ทำยาก แต่ถ้าเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้าเราหรือไม่มีความต้องการเป็นทุนเดิม ถึงพูดให้ตายยังไง จะใช้ทั้งมธุรสวาจา สาลิกาลิ้นทอง หรือวาจาลิ้นสองแฉก เขาก็ไม่ซื้อสินค้าเราหรอก ก็ไม่ทราบว่าบล็อกผมเขียนเรื่องราวปลงตกชีวิตมากเกินไปรึเปล่า หรือมีปรัชญาลุ่มลึก ผสมผสานกับเรื่องเผ็ดร้อน คาวๆนิดหน่อย หรือไม่ก็บล็อกนี้ไม่มีแก่นสารอะไรเลย (หาโฆษณาให้ตรงกับเนื้อหาไม่ได้) วันนี้เลยเห็นโฆษณาขึ้นมาตลกๆ มีทั้งเว็บไซต์ธรรมะให้ดับทุกข์ เว็บศาสนาคริสต์ เว็บขายหีบศพ เว็บรับจำนอง ขายฝากและเว็บหาคู่สาวไทย เป็นส่วนผสมที่เยี่ยมยอดอะไรปานนั้น ใครเข้ามาอ่านบล็อกผมคงได้บรรลุธรรมกันบ้างล่ะ นึกว่าเป็นบล็อกธรรมะ โดยมีโฆษณาเป็นปริศนาธรรมขั้นสูงอยู่ข้างๆ (55+) จริงๆแล้วควรขบคิดปริศนาธรรมด้วยตัวเองจึงจะได้ประโยชน์ ไม่ควรเฉลยก่อน แต่ผมขอถอดปริศนาธรรมไว้ให้เลยแล้วกัน (ตามความคิดตัวเอง) ดูซิว่าผมกับผู้อ่านจะคิดเหมือนกันรึเปล่าและเผื่อใครขี้เกียจขบคิดด้วย เอาเป็นว่าโฆษณาพวกนี้สอนเราว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ (ต้องวิ่งหาคู่รักให้วุ่นวายใจ) จึงควรดับทุกข์ด้วยการปฏิบัติธรรม เลิกยึดมั่นถือมั่นตัวกู ของกู (ไม่มีสิ่งใดเป็นของกูอย่างแท้จริง วันหนึ่งคงต้องพลัดพรากจากกัน เช่นเอาไปจำนอง ขายฝาก) เจริญมรณสติ (มีโฆษณาหีบศพเตือนสติ) รีบตายเสียก่อนตาย (รีบปฏิบัติธรรมหาหนทางดับทุกข์ก่อนตาย) และทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข" ส่วนผมก็ยังไม่หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาอยู่ดี เหอๆ