วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ก่อนกรุงแตก

อันชาติใดไร้รักสมัครสมาน
จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้นชาติย่อยยับอับจน
ประชาชนจะสุขอยู่อย่างไร

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

บทที่ 1 จาก..เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา

....
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
....
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
....
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง
สาระพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
กรุงประเทศราชธานี
จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย
จะร้อนอกสมณาประชาราช
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
....
กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จนสิ้นนามศักราชห้าพัน
กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ
....

บทที่ 2 ฝันกลางวัน กับความฝันอันลางเลือน

....
ปลายสมัยอาณาจักรอยุธยา
บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย
ศีลธรรมของผู้คนตกต่ำลง
มีการแย่งชิงราชสมบัติกันบ่อยครั้ง
ญาติพี่น้องรบกันเองเพื่อแย่งอำนาจที่ไม่มีวันเพียงพอ และไม่เคยยั่งยืน
....
ขุนนางเก่งในรัชกาลก่อนถูกกำจัดด้วยเกรงว่าจะไม่จงรักภักดี
ขุนนางดีถูกใส่ร้ายป้ายสี และไม่ได้รับการยอมรับนับถือ
ขุนนางชั่วเถลิงอำนาจ สร้างสมความเสื่อมให้แก่บ้านเมือง เพื่อให้บรรลุซึ่งผลประโยชน์ของตน
กษัตริย์ไร้ความสามารถ ขาดทศพิธราชธรรม เชื่อฟังคำของขุนนางกังฉิน
....
อาณาจักรเริ่มขาดความสามัคคี ไร้ซึ่งความมั่นคง
ต่างคนต่างคิดถึงเพียงความสุขส่วนตน ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจ
ผู้นำหลงไหลในกามารมณ์ แต่ละวันคิดเพียงแต่จะสรรหาความสุขสนุกสำราญ
ความสุข... ที่เป็นเพียงภาพมายา บนกองทุกข์ของประชาชนทั้งอาณาจักร
อนิจจา... น้อยคนนักที่จะคิดถึงความอยู่รอดของบ้านเมือง
....
ข้าวยากหมากแพง ประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
แต่ขุนนาง ผู้มีอำนาจวาสนา กษัตริย์และบรรดาญาติพวกพ้องทั้งหลายเสพสุขกันไม่สิ้นสุด
อาณาจักรใกล้เคียงต่างแข็งเมือง ตีตัวออกห่าง เมื่อเล็งเห็นถึงความเสื่อมของอยุธยา
ความเสื่อมของอาณาจักรอยุธยานี้ เย้ายวนชวนให้เข้ายึดครองยิ่งนัก
....
การยึดบ้านยึดเมืองนั้น
ยึดดินแดนยามศัตรูเปลี่ยนผู้นำ..
ยามศัตรูอ่อนแอ..
ยามศัตรูแตกแยก ขาดความสามัคคี ขาดความเป็นปึกแผ่น
ยามศัตรูถึงที่สุดของความเสื่อม
นับเป็นยอดกุศโลบาย
....
แม้ในยามศึกสงครามผู้คนยังคงคิดถึงเรื่องของตัวเองเป็นใหญ่
เงินทอง อำนาจบารมี ผลประโยชน์ ความสุขสบาย ความปลอดภัย และชีวิตของตน
แม้เสียเกียรติเป็นไส้ศึกให้ หรือขายชาติก็ยอม!
ช่างเป็นบ้านเมืองที่เสื่อมถึงที่สุดแล้วจริงๆ
....
เสียงปืนใหญ่ของพม่ายิงกระหน่ำไม่ขาดสาย
แต่ฝ่ายไทย...เงียบ
เพียงเพราะกษัตริย์กลัวฝูงสนมมเหสีตื่นตกใจเสียงปืนใหญ่ฝ่ายตัวเอง
ผู้คนล้มตายเป็นผักปลา ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลบฝัง
เสียงปะทะของดาบโล่และศาสตราวุธนานาชนิด มีอยู่ตลอดเวลา
ทุกนาทีมีคนตาย ทหารหาญต้องพลีชีพ คนดีคือผู้เสียสละ
ส่วนคนที่เหลือนั้นรอคอยฉกฉวยโอกาสจากความพินาศของบ้านเมือง และหาช่องทางเอาตัวรอด
ในที่สุด กรุงศรีอยุธยาถูกพม่าตีแตก ตกเป็นเมืองขึ้นนาน 15 ปี...
....

บทที่ 3 ตื่นกับฝันต่างกันฉันใด?

ในโลกแห่งความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ช่างคลับคล้ายคลับคลาราวกับประสบการณ์เดจาวู ความฝันนั้นช่างโหดร้าย เป็นยุคที่เสื่อมทรามที่สุดยุคหนึ่งของดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทย แต่นั่นก็เป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานนมมาแล้ว เป็นเพียงหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์อันยาวนานของอารยธรรมมนุษย์ แต่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ในอดีตกับเหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้จะไม่เหมือนกันซักทีเดียว ซึ่งอย่างน้อยก็มีระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนกัน แต่ฉันก็หวั่นกลัวอยู่ลึกๆ กลัวอย่างไม่มีเหตุผล (หรืออาจจะมีเหตุผลที่ซับซ้อนซักอย่างอยู่ภายในจิตใต้สำนึก?) ที่ฉันกลัว คือกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม เพียงแต่แตกต่างในบริบทและรายละเอียดปลีกย่อย หรือกรุงใกล้จะแตกอีกครั้ง เราจะต้องเสียดินแดนอีกหรือ?

ไม่มีความคิดเห็น: