วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551
โลกยุคอาหารเคมี
ปรากฎการณ์นมน้องหมวยเป็นพิษเนี่ย จะว่าไปก็เกิดจากความโลภของคนแท้ๆ ที่จริงแล้วไม่น่าจะมีเมลามีนมาปนเปื้อนในนมเลย ถ้าเป็นพวกเชื้อโรคหรือเชื้อวัวบ้าก็ว่าไปอย่าง คือเค้าใช้เมลามีนในอุตสาหกรรมพลาสติก ทำภาชนะจานชามอะไรพวกนั้น แต่ไม่ต้องตื่นตกใจว่าใช้จานชามแล้วจะได้กินเมลามีนไปด้วย คือโมเลกุลมันจะเกาะกันเป็นภาชนะอย่างนั้นแหละไม่ค่อยปนเปื้อนเข้ามาในอาหาร นอกจากว่าอาหารนั้นร้อนจัดมากๆ อุณหภูมิเกิน 100 องศาเซลเซียสหรือเอาเข้าไมโครเวฟ อย่างนี้ก็อันตรายมีโอกาสเป็นมะเร็งได้สูง ซึ่งที่เขาใส่เมลามีนในนมก็เพราะโครงสร้างของเมลามีนมีไนโตรเจนเยอะ แล้วเวลาที่จะตรวจวิเคราะห์คุณภาพอาหารว่ามีสารอาหารแต่ละชนิดมากน้อยแค่ไหน สำหรับโปรตีนจะดูจากปริมาณไนโตรเจนเนี่ยแหละ (ไม่ได้วัดปริมาณโปรตีนหรือกรดอะมิโนโดยตรง) พ่อค้าหัวใสที่น่าไสหัวพวกนี้เลยฉวยโอกาสทำนมไร้คุณภาพ โดยเอาน้ำนมดิบแท้ๆมาเจือจางด้วยน้ำและเติมเมลามีนลงไป จะได้เพิ่มปริมาณน้ำนมแต่ลดต้นทุนลงไง พอส่งตรวจคุณภาพน้ำนม ก็เลยกลายเป็นว่าน้ำนมบริษัทนี้มีโปรตีนสูงได้มาตรฐานไป สามารถขายให้กับโรงงานผลิตนมผงได้ ที่น่าตกใจคือไม่ใช่มีแค่บริษัทเดียว หรือไม่กี่บริษัทที่ตรวจพบเมลามีนในนม แต่มีเยอะมาก แล้วผลกระทบไม่ใช่มีแค่นมผงเด็กเนี่ยสิ แต่อุตสาหกรรมอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาซื้อนมไปผลิตสินค้าเลยเจอดีไปด้วย ตอนนี้ถ้าอยากรู้ว่าสินค้าในบ้านเราตัวไหนที่มีเมลามีนปนเปื้อนก็คอยติดตามดูข่าวอย.แล้วกันนะครับ (เว็บไซต์อย. http://www.fda.moph.go.th/) เค้ากำลังจะทยอยประกาศออกมาเรื่อยๆ ซึ่งเท่าที่ประกาศมาตอนนี้ยังตรวจไม่เจอเมลามีน โชคดีไป
ผมว่าพวกผู้ผลิตนมที่เห็นแก่ได้นี้ควรจะโดนลงโทษให้สาสม ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้ล้มละลายไปเลยก็ดี โทษฐานทำธุรกิจโดยไม่ห่วงใยผู้บริโภค และไม่สำนึกเลยว่าวันใดวันหนึ่งคงได้มีโอกาสกินอาหารผสมเมลามีนฝีมือตัวเอง เป็นวัฏจักรหมุนเวียน กงเกวียนกำเกวียน จริงๆแล้วพฤติกรรมอย่างนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วไปทุกประเทศ ทุกชนชาติ แต่อาจจะไม่ร้ายแรงหรือมีคนได้รับผลกระทบมากเท่า อย่างการปลอมปนอาหาร, ใส่สารเคมีลงในอาหารโดยที่กฏหมายไม่อนุญาต หรือใส่ปริมาณมากเกินกว่าที่กฏหมายอนุญาตให้ใส่ เพื่อให้สินค้าตัวเองมีรูปลักษณ์ดูดีน่ากิน ดึงดูดลูกค้า เพิ่มปริมาณ(แบบไร้คุณภาพ) หรือเพื่อให้เก็บไว้ได้นานๆ ดูสดอยู่ตลอดเวลา ไม่เน่าเสีย อย่างของไทยเราที่เห็นใกล้ๆตัว ก็ขนมจีนน้ำยาผสมทิชชู่ (อันนี้ไม่น่าจะเป็นพิษ แต่อาจมีประโยชน์ช่วยเพิ่มเส้นใยอาหารได้ 55+) ลูกชิ้นเด้งผสมบอแรกซ์ (ให้ลูกชิ้นเด้งดึ๋ง กรอบอร่อยน่ากิน) เส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีสารกันบูดมากเกินไป (จริงๆมีอาหารอีกหลายๆอย่างที่แม่ค้าอาจจะใส่สารกันบูดมากเกินอัตราที่กำหนด เพื่อให้วางขายได้หลายๆวัน แต่ยังตรวจไม่เจอ) อาหารผสมสีย้อมผ้าทำให้สีสันฉูดฉาดดึงดูดใจแต่มีโลหะหนัก หรือแหนม ไส้กรอกที่ใส่ดินประสิวมากเกินไป ถ้าติดตามข่าวดีๆจะเห็นได้เยอะ ว่างๆก็ลองไปอ่านข่าวของอย.ดูได้
ยิ่งคนเราพัฒนาเทคโนโลยีได้ก้าวไกล มีการคิดค้นสารเคมีใหม่ๆมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น คนกลับยิ่งได้รับผลกระทบจากสารเคมีกันมากขึ้น เพราะคุณธรรมของคนไม่ค่อยจะพัฒนาตาม แต่กลับเสื่อมทรามมากขึ้นทุกที เทคโนโลยีเลยกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ เอามาใช้ผิดประเภทผิดวัตถุประสงค์ ประกอบกับการขาดความรู้เรื่องสุขภาพอนามัย ทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็มี สารเคมีก็ยิ่งสร้างความหายนะให้กับมนุษยชาติได้รุนแรงมากขึ้น และถึงแม้ว่าจะเอาสารเคมีมาใช้ถูกต้อง ใช้ในปริมาณที่กฏหมายอนุญาต และมีองค์กรต่างๆมากมายรับรองว่าใช้ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะปลอดภัยเสมอไป อย่าเพิ่งไว้วางใจ คือก่อนจะอนุญาตให้เอาสารเคมีตัวไหนมาใช้ใส่ในอาหารได้ จะต้องมีการศึกษามาก่อนแล้ว ว่าควรใส่แค่ไหนจึงปลอดภัยไม่เกิดพิษ แต่ผลการศึกษาเท่าที่มีนี้อาจไม่เพียงพอที่จะรับประกันได้ว่าปลอดภัย 100% เพราะทดลองในสัตว์ทดลองและระยะเวลาอาจไม่นานพอที่จะเห็นพิษ ซึ่งสารที่ใช้เติมแต่งอาหารนี้ก็จะมีการศึกษาออกมาเรื่อยๆ สารบางอย่างเคยอนุญาตให้ใช้ได้ แต่ต่อมาพบว่ามีพิษเกินกว่าจะยอมรับได้ก็ถูกห้ามไม่ให้ใช้ในอาหาร เช่นสารให้ความหวานและสีแต่งอาหารบางตัว
เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูปทั้งหลายมักจะใส่สารเติมแต่ง เพื่อให้อาหารน่ากิน มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น หรือคงสภาพไว้ได้นาน แต่บางอย่างถ้ากินสะสมเข้าไปมากๆก็อาจเกิดโรคขึ้นได้ ที่เห็นได้ชัดเจนคือมะเร็งที่คนเป็นกันมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำว่าไม่ควรกินอาหารชนิดเดียวหรือประเภทเดียวซ้ำๆเพราะจะได้สารเคมีชนิดเดิมๆสะสม (เช่น เช้ากินไส้กรอก เที่ยงกินแหนม เย็นกินแฮม ก็จะได้ดินประสิวไปเต็มๆทั้งวัน หรือกินมาม่าทุกวันก็อันตรายนะครับ) ควรกินอาหารให้หลากหลายเข้าไว้ซึ่งนอกจากจะได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังจะได้สารเคมีครบทุกประเภทด้วย 55+ อันนี้จริงๆครับ คือถ้ากินแต่อาหารเดิมๆ ยี่ห้อเดิมๆ บ่อยๆ ก็จะได้รับแต่สารเคมีที่ปรุงแต่งในอาหารชนิดนั้น (เช่นสารกันบูด ดินประสิว สารให้ความหวาน สารฟอกขาว สารแต่งสีแต่งกลิ่น แล้วแต่ชนิดของอาหาร) สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายเราจะกำจัดออกไปไม่ทัน แต่ถ้ากินอาหารหลากหลายชนิด เราก็จะได้สารเคมีหลายๆชนิด อย่างละนิดอย่างละหน่อย ซึ่งกลไกของร่างกายที่ใช้กำจัดสารแต่ละตัวก็อาจจะแตกต่างกัน จึงมีโอกาสกำจัดได้หมด ไม่ให้สะสมคั่งค้างในร่างกาย สังเกตได้ว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากเมลามีนโดยตรงมีแต่เด็ก ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเด็กมีความต้านทานต่ำกว่าผู้ใหญ่ และน่าจะเกี่ยวกับการที่เด็กกินแต่นมด้วย กินนมทุกวันจนเมลามีนไปตกตะกอนที่ไต จนไตวาย แต่ผู้ใหญ่ไม่ได้กินนมหรืออาหารผสมนมปนเปื้อนเมลามีนเป็นอาหารหลัก จึงยังไม่เห็นผลกระทบชัดเจน แต่ถ้าในระยะยาวก็ไม่แน่
นอกจากอาหารสำเร็จรูปที่มีสารเคมีปรุงแต่งแล้ว อาหารสดก็หนีไม่พ้นสารเคมี อย่างน้อยๆก็มียาฆ่าแมลงค้างอยู่ในผักผลไม้บ้างล่ะ และคงเคยได้ยินว่ามีอาหารทะเลชุบฟอร์มาลิน แอ้ปเปิ้ลเคลือบผิวให้มันเงางาม ข้าวที่ปนเปื้อนโลหะหนัก (เพราะมีการทำเหมืองแร่ใกล้ๆนา) ดังนั้นในยุคที่อาหารอุดมไปด้วยสารเคมีนี้ จะกินอะไรก็ต้องเลือกให้ดีๆ คัดสรรอาหารที่น่าจะปลอดภัยต่อเรามากที่สุด มีตราอย.รับประกัน (อย่างน้อยก็วางใจได้ระดับนึง ว่าอาหารนั้นไม่น่าจะใส่สารเติมแต่งเกินมาตรฐานที่กำหนด หรือมีสารปนเปื้อน เช่นโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) เลือกร้านหรือยี่ห้อที่ไว้ใจได้ก็ยิ่งดี รัฐบาลก็ต้องดูแลให้เข้มงวด อย่าให้ผู้ผลิตอาหารเอาเปรียบได้
แต่ยิ่งรู้มากก็ยิ่งทุกข์มาก เห็นไส้กรอกแดงๆอวบๆน่ากิน นึกขึ้นได้ว่ามีดินประสิวนี่หว่า กินมากจะได้ไนโตรซามีนเป็นมะเร็งตายก่อนวัยอันควร ระวังตัวจนไม่กล้ากินอะไรเลย ก็ระวังจะตายเพราะขาดสารอาหารแทนนะครับ เหอๆ วิธีการก็อย่างที่บอกไปคือกินอาหารให้หลากหลายดีกว่ากินอย่างเดิมซ้ำๆ และถ้าเป็นไปได้ เราน่าจะกลับสู่วิถีชีวิตแบบเดิมๆ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ (นอกจากมีคุณค่าสูงแล้วยังปลอดภัยและประหยัดด้วย) ปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ปลูกไม้ผล ทำบ่อปลา เลี้ยงหมูเลี้ยงไก่ไว้กินเองบ้างก็น่าจะดีไม่น้อยนะครับ ทำเท่าที่จะทำได้ อีกอย่างคือควรสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ และเกษตรแบบผสมผสานกันให้มากขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงลงบ้าง ก็น่าจะช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่ในยุคอาหารเคมีได้อย่างมีความสุขขึ้น เสี่ยงภัยเจ็บป่วยเนื่องจากพิษสารเคมีที่แฝงมากับอาหารลดลง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551
สอบปีสุดท้ายกับ Honor system
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551
กับดักการปราศรัยพันธมิตร
1.กล่าวหาว่าการชุมนุมของพันธมิตรไร้เดียงสา
2.หาว่าพันธมิตรมา hijack ทำเนียบรัฐบาล
3.อ.นิธิ บอกว่าการนำคนดีมาปกครองบ้านเมือง ไม่มีประโยชน์
แล้วแกนนำท่านนั้นก็โจมตีอ.นิธิ อย่างรุนแรงทั้งเรื่องคุณธรรมจริยธรรมของตัวอาจารย์เอง ที่มีข่าวในทางเสียหายกับภรรยาผู้อื่น และสรุปสุดท้ายว่าเป็นพวกเดียวกับรัฐบาลขายชาติ เชื่อว่าใครที่ฟังอยู่ในที่ชุมนุมก็คงจะรู้สึกคล้อยตามไปกับแกนนำท่านนี้
เอารายละเอียดการปราศรัยของแกนนำท่านนี้มาจากบล็อกของกลุ่มคนจุดตะเกียง ลองอ่านดูนะhttp://onknow.blogspot.com/2008/09/blog-post_2750.html
“สมศักดิ์”สวน “ดร.นิธิ”กล่าวหาพันธมิตรฯ ไฮแจ๊กทำเนียบ จวกไม่เข้าใจสิทธิเสรีภาพการชุมนุม ระบุยึดทำเนียบป้องกันนักการเมืองชั่วโกงกินประเทศ ย้อนกลับนักวิชาการ ม.เที่ยงคืน พฤติกรรมเฒ่าหัวงู ไร้ศีลธรรมไฮแจ๊กเมียเพื่อน ซ้ำพูดเหมือนคนบ้า อ้างเอาคนดีมาปกครองบ้านเมืองไร้ประโยชน์
เมื่อเวลา 22.40 น. วันที่ 22 ก.ย. นายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า เรามาต่อสู้เพื่อให้ความดีงาม แต่มีบางคนไปพูดให้คนเข้าใจผิด โดยเฉพาะนายนิธิ เอียวศรีวงศ์ จากมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ที่กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ไร้เดียงสา และทำให้ “3 เกลอ”ที่จัดรายการ “ความจริงวันนี้”เอาไปอ้างต่อ จึงน่าจะพูดได้ว่านายนิธิ เป็นนักวิชาการสาย นปก.โดยแท้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า คำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ไม่น่าจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ 113 แต่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องตามมาตรา 112 ไปแล้ว นอกจากนั้นยังเคยบอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณให้เงินมาใช้เคลื่อนไหวโดยไม่มีเงื่อนไขก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย ทั้งที่เป็นเงินที่โกงบ้านโกงเมืองมา
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นายนิธิได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชนว่า พันธมิตรฯ ไร้เดียงสา และอ้างว่าไม่ควรมีคนกลุ่มใดไปไฮแจ๊กทำเนียบรัฐบาล (จับทำเนียบฯเป็นตัวประกัน) เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งเท่ากับว่านายนิธิไม่รู้เรื่องสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม สมัยที่สมัชชาคนจนมาชุมนุมหน้าทำเนียบนายนิธิก็ทำเป็นเมตตาคนจน แต่ตอนนี้กลับไปอยู่กับระบอบทักษิณ
“นักวิชาการคนนี้เปิดมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อ้างว่าเป็นมหาวิทยาลัยทางเลือก แล้วตอนนี้ก็ไฮแจ๊กเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง หลังจากวิจัยกันไปวิจัยกันมา จนหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่านิธิเตียงหัก เราไฮแจ๊กทำเนียบเพื่อไม่ให้คนชั่วมาโกงกินประเทศชาติ เราทำเพื่อความดี แต่นักวิชาการที่ไฮแจ๊กเมียเพื่อนนั้นชั่วช้าสิ้นดี ไม่รู้ว่าไร้เดียงสา หรือไม่ประสีประสากันแน่
“เราเป็นพลเมืองดีที่กล้ามาเปิดโปงนักการเมืองชั่วขายชาติ จนมีคำพิพากษาตัดสินออกแล้ว คตส.ก็ตรวจสอบแล้วผลปรากฏออกมาโกงไป 2 แสนกว่าล้าน โกงเลือกตั้งก็ผิดชัดแจ้ง แล้วนักวิชาการขี้หมูไหลพวกนี้ไม่ว่าสักคำ แต่มันมาตำหนิคนดี ใครที่ตำหนิคนดี เขาเรียกว่าอะไรครับพี่น้อง”
นายสมศักดิ์ ย้ำว่า ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนทำดีละเว้นจากความชั่ว ให้คนกตัญญูกตเวทีต่อแผ่นดินเกิด ต้องรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน ใครมาทำลายเราต้องลุกขึ้นสู้ เป็นการทำหน้าที่พลเมืองดี แล้วมันไร้เดียงสาตรงไหน นักวิชาการที่พูดแบบนี้ควรปลดตัวเองไปเลี้ยงหมูเลี้ยงแมวดีกว่า คุณอาจคิดว่าคุณมีความรู้ดี แต่ความประพฤติไม่ดีเลยเพราะฉะนั้นถ้าเจอที่ไหนจะฉะที่นั่น จะตำหนิ เพราะหลักพุทธศาสนาบอกว่า ยกย่องคนที่ควรยกย่อง ตำหนิคนที่ควรตำหนิ
“เขาว่ามหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เป็นมหาวิทยาลัยเลือก ตกลงก็เลือกเอาเมียเพื่อนมาทำเมียตัวเอง แค่นี้ก็ผิดศีลธรรม ร้ายแรงแล้ว ถ้าเป็นข้าราชการประพฤติชั่วอย่างนี้โทษต้องไล่ออกจากราชการ คุณไม่ซื่อสัตย์ต่อครอบครัวลูกเมียแล้วคุณจะซื่อสัตย์กับใคร”
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้นายนิธิยังให้สัมภาษณ์ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง แม้ว่าจะมีพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ส่งเสริมให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ไม่ให้คนไม่ดีเข้าไปมีอำนาจก่อความวุ่นวายได้ แต่นักวิชาการบ้าคนนี้บอกว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะส่งเสริมคนดีปกครองบ้านเมือง มันเลยส่งเสริมคนชั่วให้ปกครอง
นอกจากนี้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็พูดอยู่เสมอว่า อย่ายกย่องคนมีเงินที่ฉ้อฉล ขอให้ยกย่องคนดีมีศีลธรรมให้มาปกครองบ้านเมือง ซึ่งนี่คือสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ แต่นักวิชาการพวกนี้มันบ้าสนิทแล้ว ที่บอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะให้คนดีมาปกครอง ทั้งที่ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีทั้งนั้น เหมือนคำพูดของท่านพุทธทาสที่ว่า ปวงมนุษย์ทั้งหลายนั้นดีกว่าสัตว์ตรงที่มีศีลธรรมคุณธรรม ถ้าไม่มีศีลธรรมคุณธรรมก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน
“ผมพูดเสมอว่า คางคกตัวผู้เคยรุมข่มขืนคางคกตัวเมีย แล้วฆ่าทิ้งไหม ไม่มี มีแต่คนที่ข่มขืนผู้หญิงแล้วฆ่าทิ้ง จึงเรียกพวกนี้ว่าสัตว์นรก เพราะฉะนั้นบ้านเมืองต้องมีระบบคุณธรรมจริยธรรม โดยมีศาลเป็นคนตรวจสอบ ทุกสังคมต้องมีมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม และต้องให้ผู้นำประเทศเป็นแบบอย่าง”
นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า นักวิชาการพวกนี้ชอบทำให้คนสับสน คนที่ไม่รู้ก็หลงเชื่อ พวกนักวิชาการกะเรี่ยกะราด มาหาว่าพันธมิตรเป็นเผด็จการ ทั้งที่ตัวเองเป็นอาจารย์ ยังไม่รู้อีกว่า ทักษิณเป็นเผด็จการทุนนิยมสามานย์ พอๆ กับฮิตเลอร์ ตนเคยไปศึกษาสถาบันฮิตเลอร์มาแล้ว เหมือนทักษิณทุกอย่าง เรื่องการฆ่าตัดตอน การอุ้มทนายสมชาย นีละไพจิตร กรณีกรือเซะ-ตากใบ นอกจากนั้นระบอบทักษิณยังมีเรื่องการโกง ทุจริต ยกดินแดนพระวิหารให้เขมร ทำผิดกฎหมายอาญา ทำผิดไปผิดมาก็หนีศาล หนีหมายจับ แล้วรัฐบาลนอมินีก็ไม่เห็นรักษาผลประโยชน์ชาติ คนเป็นผู้ร้ายหนีคดีอาญา ถูกออกหมายจับ รู้ไปทั่วโลก แต่ก็ยังไม่กล้าถอนพาสปอร์ตสีแดงเลย
“มันหาว่าเราต่อรอง มันดูถูก คนทั่วโลกเขาก็ชุมนุมกันทั้งนั้น หาว่าเราไฮแจ๊กทำเนียบ ไม่รู้เรื่องสิทธิเสรีภาพ รัฐบาลไหนไม่ดีประชาชนมีสิทธิยึดอำนาจคืน เขาไม่รู้จักประชาธิปไตย ไม่รู้เรื่องรัฐศาสตร์ หรือไม่ก็รับจ้างมาพูด นักวิชาการคนนี้ อดีตเคยเป็นคนน่าเชื่อถือ คนเคยทำดีผมก็ชื่นชม แต่ตอนที่ไม่ดี ก็ถือว่า เขาเป็นศัตรูกับประชาชน ไปรับใช้ทรราชระบอบทักษิณ
“แถมพฤติกรรมของตัวเองยังไม่น่าเชื่อถือเลย ถ้าเป็นกรรมกรก่อสร้าง ไปเอาเมียคนอื่นมาเป็นเมียตัวเอง คนเขาก็ต่อว่านิสัยไม่ดี แต่นี่เป็นนักวิชาการไปเอาเมียเพื่อนมาเป็นเมียตัวเอง ทั้งที่ตัวเองก็แก่แล้ว เป็นเฒ่าหัวงู อายุ 60 กว่าใกล้ 70 แล้ว ยังไปเอาเมียชาวบ้านมาเป็นเมียตัวเอง อย่างนี้เขาเรียกว่า แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน”
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า คนจะเป็นผู้นำคนต้องมีคุณธรรมจริยธรรม มีมาตรฐานให้คนอื่นยอมรับได้ ไม่ใช่พูดได้ทุกเรื่อง แต่ทำไม่ได้แม้แต่เรื่องเดียว อย่างกรณีนายนิธิ ศีลข้อเดียวก็ยังถือไม่ได้ จะเป็นอาจารย์ทำผีอะไร คนเป็น ต้องมีศีลมีสัตย์ ถ้าไม่มีก็ไปเป็นโจรดีกว่า ไม่ต้องเหนื่อย แต่ถ้าจะเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องมีศีลธรรม เช่นเดียวกับจะเป็นนักการเมืองต้องเสียสละ มีคุณธรรมไม่ใช่มีอาชีพโกงกิน
“บ้านเมืองเราศีลธรรมกำลังเสื่อม เราต้องมากู้ศีลธรรม เอาผู้ปกครองที่ชั่วออกไป เพราะถ้าคนชั่วปกครอง ชีวิตเราก็เหมือนหมาเน่า เราต้องให้คนดีมาเป็นผู้นำประเทศ นี่คือเอกลักษณ์ จุดยืนของประเทศไทย อย่าประมีประนอมกับความชั่ว ผมไม่ยอม มาด่าพี่น้องเราไม่ได้ เรามาต่อสู้เพื่อคุณความดี ใครคนใดคนหนึ่งเจ็บเราเจ็บ ใครแพ้เราก็แพ้ด้วย เราเป็นพี่น้องกัน ยอมตายเพื่อชาติ พร้อมสู้ทุกมิติ เรื่องอะไรจะให้พวกเลวๆ มันมาว่าพี่น้อง โดยที่ตัวเองอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้นใครดีเลว ต้องพิสูจน์ด้วยการกระทำ อย่าพูดอย่างเดียว”
นายสมศักดิ์ กล่าวย้ำว่า เราอย่าไว้ใจ คนที่ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หรือคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ทำให้หน้าห้องต้องผูกคอตาย เราอย่าไว้ใจที่โหดเหี้ยมอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าประมาท ขอให้เราตรึงทำเนียบไว้ตลอด เพราะวัน 2 วันมานี้ มีตำรวจมาด้อมๆ มองๆ ถ้าเห็นพวกเราน้อย ก็อาจจะซุ่มเข้ามา ขณะที่อีกทางหนึ่งก็จ้างนักวิชาการไว้พูดทำลายพวกเรา เรายิ่งต้องระมัดระวัง แต่อย่าเครียด พี่น้องมาทำบุญหน้าตาต้องอิ่มเอิบ เรามาทำความดี อย่าเครียด ขอให้มั่นใจ ยืนหยัดต่อสู้ขับไล่รัฐบาลทรราชย์ต่อไป
อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ แต่ขอเตือนว่าการฟังการปราศรัย ถึงแม้ว่าข้อมูลที่ได้มาจะรับฟังได้รวดเร็ว ครอบคลุม กระชับ และเข้าใจได้ง่าย เพราะผ่านการย่อยมาจากผู้ปราศรัยแล้ว แต่ต้องระวังกับดักทางความคิดอย่างยิ่ง คือผู้ปราศรัยสามารถที่จะหยิบยกเอาเฉพาะประเด็นที่ตัวเองได้เปรียบมาพูด เหมือนกับการตัดส่วนนั้นส่วนนี้จากแหล่งต่างๆเอามาผสมปนเปกันและพูดให้ฝ่ายตัวเอง"ดูดี"ขึ้นมาได้ทันตาเห็น โดยขาดการลงรายละเอียดปลีกย่อย และผู้ฟังแทบจะไม่ได้ตรึกตรองเลย นอกจากมีอารมณ์คล้อยตามผู้พูด (โดยเฉพาะถ้าไม่มีความรู้หรือข้อมูลเรื่องนั้นมาก่อน) ในส่วนที่เป็นรายละเอียดที่ผู้พูดไม่กล่าวถึงนี่แหละ บางทีอาจจะตรงกันข้ามกับประเด็นที่ผู้พูดต้องการจะสื่อ ดังนั้นเวลาคุณฟังการปราศรัย คุณเคยนึกสงสัยบ้างมั้ยว่าที่เค้าพูดมานั้นเชื่อถือได้แค่ไหน เคยคิดจะไปสืบค้นแหล่งข้อมูลเต็มๆมาอ่านเพิ่มมั้ย เคยลองไปอภิปรายกับคนอื่นๆที่รู้ข้อมูลมาก่อนมั้ย ถ้าไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ก็ระวังจะตกเป็นเครื่องมือของผู้ปราศรัยนะครับ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังสอนไม่ให้เชื่อคำสอนของครูอาจารย์ทันที ก่อนจะเชื่อต้องพินิจพิเคราะห์ทดลองด้วยตัวเองก่อนจึงค่อยเชื่อ แล้วนี่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชดำเนินจะเรียนการเมืองแบบเชื่ออาจารย์ไปทั้งหมดก็ดูจะไม่ใช่ผู้มีปัญญาเค้าเรียนกัน จะกลายเป็นแกะให้เขาจูงไปได้ง่ายๆมากกว่า ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธการฟังการปราศรัยของพันธมิตรนะครับ เพราะผมเองก็ฟังอยู่บ่อยๆทางวิทยุ บางเรื่องบางท่านพูดได้ดีมีประโยชน์ ได้ความรู้มาก แต่ฟังแล้วขอให้นำมาตรึกตรองคิดดูก่อน อย่าเพิ่งเชื่อทันทีทันใดแบบไปไหนไปกัน เขาพาไปตายก็ยังตามเขาไป แบบนั้นไม่ใช่คนฉลาดมีปัญญา
พอได้ฟังแกนนำคนนี้พูดจบผมก็ไปหาบทความ "ปฏิรูปสังคม" นี้มาอ่าน จึงได้ประจักษ์ถึงปัญญาอันล้ำเลิศของแกนนำท่านนี้ ที่อ่านแค่เพียงบางประโยคก็เอามาพูดปราศรัยให้คนคล้อยตามเฮกันใหญ่ได้ ถ้าจะเทียบกับสุภาษิตไทยก็ประมาณ "ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด" หรือไม่ก็พออ่านไม่กี่ประโยคก็เกิดความเดือดดาลคันปากอยากด่าคน เอาเป็นว่าคล้ายๆจะเป็น "กระต่ายตื่นตูม"
ลองอ่านบทความเต็มเรื่อง "ปฏิรูปสังคม" นี้ดูดีๆนะครับ
"น่ายินดีที่ฝ่ายพันธมิตรออกมาปฏิเสธว่า การเมืองใหม่ 70/30 ไม่ใช่เงื่อนไขตายตัว เป็นเพียงข้อเสนอเชิงตุ๊กตาเพื่อการถกเถียงอภิปรายกันเท่านั้น จึงเท่ากับการเปิดประตูให้กว้างขวางแก่ทุกฝ่าย ที่จะเข้ามาช่วยกันคิดและเสนอ เพราะจริงอย่างที่ฝ่ายพันธมิตรกล่าว ขณะนี้สังคมจำเป็นต้องร่วมกัน "ปฏิรูป" อีกครั้งหนึ่ง ต่อจากช่วง 2535-40
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการ "ปฏิรูป" แบบเปิดกว้าง ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการกดดันของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต้องเป็นบรรยากาศที่ทุกกลุ่มทุกฝ่าย รู้สึกปลอดภัยและอิสระเสรีในการเข้าไปมีส่วนร่วม อันไม่ใช่บรรยากาศของกลางฝูงชนที่กำลังประท้วง (ด้วยเรื่องอะไรกันแน่...ไม่มีใครทราบ)
สภาพการณ์ที่จำเป็น ผมคิดว่ามีอย่างน้อย 3 ประการ
1/ ขออย่ามีกลุ่มใดอ้างว่า เป็นตัวแทนของ "ประชาชน" เลย ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหรือได้รับอาณัติจากสังคม ขอให้เข้าใจด้วยว่า อาณัตินั้นไม่ได้เด็ดขาดในทุกเรื่อง แต่จำกัดเฉพาะนิติบัญญัติ อีกทั้งต้องใช้กระบวนการที่ประชาชนอาจมีส่วนร่วมได้ตลอดเวลาด้วย ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุม, จัดสัมมนา-เสวนา, แถลงการณ์ของสหภาพหรือนักวิชาการ ฯลฯ ก็ล้วนเป็นความเห็นของผู้ลงนามเท่านั้น เสนอขึ้นเพื่อให้สังคมได้รับไปพิจารณา
ไม่ควรที่กลุ่มใดจะไฮแจ๊คความปกติสุขของสังคม, หรือไฮแจ๊คทำเนียบรัฐบาล, รัฐสภา, ท้องถนนอย่างถาวร ฯลฯ เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองให้รับความเห็นของตน มิฉะนั้นก็จะไม่คืนตัวประกัน
2/ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดว่าให้คนดีปกครองบ้านเมือง ไม่ใช่เพราะคำพูดนี้ผิด แต่เป็นภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไร พูดเมื่อไรก็ถูกเมื่อนั้น แต่เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่ใครจะรู้แน่ว่าใครคือคนดี แม้แต่ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าดี ก็อาจผันแปรเป็นไม่ดีไปได้เมื่อเงื่อนไขชีวิตเปลี่ยนไป เช่นมีอำนาจและลูกน้องที่จะต้องเลี้ยงดู หรือถึงจะเป็นคนดีแต่ไม่มีฝีมือในการบริหาร ก็ไม่ทำให้เกิดผลดีแก่ส่วนรวม
ที่ต้องใช้ปัญญาอย่างแท้จริงคือ กระบวนการอะไรจึงทำให้คนดีและมีฝีมือ ได้ปกครองบ้านเมือง และดำรงความดีกับฝีมือของตนไว้ได้ตลอดไป คำตอบของนักปราชญ์ฝ่ายประชาธิปไตยก็คือ ต้องเปิดให้แก่การตรวจสอบของสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ทั้งในระบบ (รัฐสภา, องค์กรอิสระ, คณะกรรมการประเภทต่างๆ, อำนาจที่คานกันเองได้ทั้งในระนาบเดียวกันและต่างระนาบ ฯลฯ) และนอกระบบ (การประท้วง, สื่อ, ความเคลื่อนไหวทางการเมือง, เศรษฐกิจและสังคมที่อิสระเสรี, การแสดงออกทางวัฒนธรรม ฯลฯ)
หากที่ผ่านมา เราไม่อาจขจัดคอร์รัปชั่น, ความไร้สมรรถภาพ, เผด็จการทางรัฐสภา ฯลฯ ได้ ก็ควรหันมาทบทวนกลไกการตรวจสอบ และสร้างกลไกและหลักประกันในการตรวจสอบให้เป็นจริง
ร้ายยิ่งไปกว่านั้น การใช้หลักการที่ไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการ "ปฏิรูป" ยังอาจนำไปสู่การแสวงหาคนดีที่หลุดไปจากการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดของสาธารณชนด้วย เช่นข้อเสนอให้แต่งตั้ง ส.ส.หรือบุคคลสาธารณะ หรือการยกอำนาจทั้งหมดให้แก่คณะบุคคลที่ประชาชนไม่อาจตรวจสอบได้เลย (เช่นกองทัพ, องคมนตรี, ตุลาการ, นายกฯคนนอก ฯลฯ) ในการเลือกสรรคนดีเข้ามาดำรงตำแหน่ง
น่าประหลาดที่เขาเรียกการรอนอำนาจประชาชนเช่นนี้ว่า "ประชาภิวัฒน์"
ไม่แต่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น ข้อเสนอประเภทภูมิปัญญาที่ไม่ต้องใช้ปัญญาเช่นนี้ยังมาจากทุกฝ่าย เช่น รัฐบาลแห่งชาติ (ประหนึ่งคำว่าแห่งชาติคำเดียวจะทำให้ทุกอย่างดีเอง), สุมหัวกันแก้รัฐธรรมนูญในหมู่นักเลือกตั้ง (ประหนึ่งว่านักเลือกตั้งมีคุณสมบัติในการร่างรัฐธรรมนูญดีกว่านักรับแต่งตั้ง), งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ฯลฯ
อันที่จริง ในการ "ปฏิรูป" ใครจะเสนออะไรที่ไร้เดียงสาหรือเห็นแก่ตัวเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น หากมีบรรยากาศที่เปิดกว้าง ปราศจากการไฮแจ๊ค ไม่ว่าจะเป็นไฮแจ๊คทำเนียบ หรือไฮแจ๊ครัฐสภา ดังเช่นข้อเสนอปฏิรูปการเมืองของฝ่ายพันธมิตร หากเป็นข้อเสนอในบรรยากาศปกติธรรมดา สังคมไม่ถูกบังคับขู่เข็ญ ก็จะถูกตีตกไปในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีใครใส่ใจจริงจังอีกเลย
3/ ไม่ควรเริ่มต้นด้วยการจำกัดการ "ปฏิรูป" ให้เหลือเพียงการ "ปฏิรูปการเมือง" เพราะไม่มีการ "ปฏิรูปการเมือง" ใดๆ จะเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ หากไม่คิดว่า "การเมือง" เป็นเพียงมิติเดียวของสังคม ยังมีส่วนของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่กำกับความเป็นไปของการเมืองอยู่เสมอ และผมขอเสนอให้เรียกว่า "ปฏิรูปสังคม" เราควรคิดถึงการปฏิรูปที่ดิน, การปฏิรูประบบภาษี, การปฏิรูปการศึกษา, การปฏิรูประบอบปกครอง ฯลฯ ไปพร้อมกัน เพราะความล้มเหลวของการเมืองไทยหลายประการ มาจากเศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และสังคม ไม่ใช่เรื่องการเมืองและนักการเมืองล้วนๆ
ฝ่ายพันธมิตรกำลังเผชิญการท้าทายยิ่งกว่าหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียอีก หากฝ่ายพันธมิตรเชื่อจริงในเรื่อง "การเมืองใหม่" หรือการ "ปฏิรูป" เพราะฝ่ายพันธมิตรเป็นฝ่ายหนึ่ง ซ้ำเป็นฝ่ายสำคัญด้วย ที่จะนำเอาบรรยากาศปกติกลับคืนมาแก่สังคม การสนับสนุนของประชาชนส่วนที่ได้รับอยู่เวลานี้ ต้องแสวงหาและรักษาไว้ด้วยมาตรการอื่น ไม่ใช่การประท้วงด้วยท่าที "สงครามครั้งสุดท้าย" เพียงอย่างเดียว เพราะท่าทีนี้ไม่ใช่การเปิดกว้างแก่การ "ปฏิรูป" แต่เป็นการประกาศคำสั่งเด็ดขาดเท่านั้น
พันธมิตรมีความกล้าที่จะยุติการประท้วงด้วยท่าทีนี้หรือไม่ แน่นอนว่าฝ่ายแกนนำต้องเผชิญกับคดีตามกระบวนการยุติธรรม ท่านเหล่านั้นล้วนอ้างว่าไม่ได้ทำผิด และอ้างความเสียสละกล้าหาญมาโดยตลอด ถึงเวลาที่ท่านต้องพิสูจน์คำพูดด้วยการกระทำเสียที
นอกจากนี้ การกลับคืนสู่ภาวะปกติ ย่อมหมายถึงการ "รณรงค์" ในลักษณะอื่นที่ไม่ใช่ "สงครามครั้งสุดท้าย" ด้วย เช่นการอภิปรายโต้แย้งกันบนเวทีที่ทุกความเห็นไม่ถูกคุกคาม คำถามคือท่านเหล่านั้นมี "กึ๋น" จะทำได้หรือไม่ หรือเหลือ "กึ๋น" ที่จะทำได้หรือไม่
หากฝ่ายพันธมิตรไม่อาจทำได้ทั้งสองอย่างนี้ การ "ปฏิรูป" ก็ไม่มีทางเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นตามแนวทางที่ฝ่ายแกนนำเป็นผู้เสนอ สิ่งที่น่าเสียดายไม่ใช่ข้อเสนอของแกนนำ แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือแรงหนุนที่ผู้คนจำนวนมากให้แก่พันธมิตร ไม่ได้ถูกแปรไปใช้ในทางที่จะนำประเทศให้หลุดออกจาก "ระบอบทักษิณ" จริง แม้คนที่ชื่อทักษิณอาจไม่มีทางกลับมาสู่การเมืองไทยตลอดไปก็ตาม ("ระบอบทักษิณ" อาจมีนายกฯชื่อ สมชาย, ชวน, อภิสิทธิ์, สุรพงษ์, จำลอง, สนธิ, หรือสุรยุทธ์, อนุพงษ์ ฯลฯ ก็ได้)
และเมื่อมองสภาพกว้างกว่าฝ่ายพันธมิตรก็เป็นไปได้ด้วยว่า ไม่มีแรงหนุน "การปฏิรูปสังคม" อย่างจริงจังในสังคมไทยในช่วงนี้ ซึ่งแปลว่าเราต้องเผชิญการเมืองน้ำเน่าเช่นนี้ต่อไป จนกว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงเสียก่อน สังคมไทยโดยรวมจึงจะเห็นความจำเป็น
เวลาที่ต้องเสียไปนี้ก็ตาม ความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งน่าเสียดายทั้งนั้น"
ที่มา http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act01220951§ionid=0130&day=2008-09-22
อ.นิธิต้องการจะเสนอแนวคิดของการปฏิรูปสังคม ให้ข้อเสนอแนะแก่ทุกฝ่ายๆ เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปที่ประเทศชาติได้ประโยชน์ และเห็นทางออกของปัญหาบ้านเมืองขณะนี้ แต่แกนนำพันธมิตรท่านนั้นไม่เข้าใจ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะบทความนี้ดูเหมือนจะเสียดสีแนวทางพันธมิตร (ไม่เห็นด้วย = ศัตรูของพันธมิตร) หรือคงเกรงว่ามวลชนจะลดการสนับสนุนพันธมิตร หรือจะเป็นด้วย"กึ๋น"ของแกนนำท่านนั้นเองก็ไม่อาจทราบได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือในแวดวงคนมีปัญญา ถ้าจะให้วิจารณ์ความคิดเห็น บทความหรือผลงานของใคร เขาก็จะวิจารณ์ตัวเนื้องานเป็นหลัก โดยใช้เหตุผลมาถกเถียงกัน ส่วนการวิจารณ์ตัวเจ้าของผลงานนั้นเป็นเรื่องรอง ซึ่งก็ควรจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลงานนั้นๆ ไม่ใช่วิจารณ์โดยใช้อารมณ์และเน้นการโจมตีเรื่องส่วนตัว
วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551
วิธีการใช้ Clamwin Antivirus (จากประสบการณ์การใช้งานกว่า 2เดือน)
คำสั่งใช้งานหลักที่ใช้บ่อยๆ จะมีอยู่ 4 อย่าง จะเห็นเป็น 4 รูปอยู่ด้านบน

1. Display Preference window จะใช้ในการตั้งค่าต่างๆของโปรแกรม อันที่จำเป็นต้องปรับก็เห็นมีอยู่อันเดียวคือ ในหัวข้อ general ส่วนที่ให้ตั้งว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อตรวจพบไวรัสซึ่งในตอนแรกจะกำหนดไว้ว่าให้รายงานเฉยๆเมื่อพบไวรัส แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้กำจัดไวรัสนั้นเลย หรือจะย้ายไวรัสแยกไปเก็บไว้ในโฟลเดอร์ Quarantine แล้วค่อยกำจัดทีหลังก็ได้ (เผื่อว่าเป็นไฟล์ของเราเองแล้วโปรแกรมคิดว่ามันเป็นไวรัส) ส่วนคำสั่งอื่นๆนั้นถ้าสนใจก็เข้าไปอ่านได้ในคู่มือการใช้ โดยเข้าไปในโฟลเดอร์ App >> Clamwin >> Bin >> manual_en
2. Start Internet Updateใช้ในการอัพเดตฐานข้อมูลไวรัส นอกจากนี้เวลาเปิดโปรแกรมก็จะมีการเตือนให้อัพเดตฐานข้อมูลถ้าหากไม่ได้อัพเดตนานเกิน 5 วันด้วย
3. Scan Computer memory for virus แนะนำว่าควรสแกนความจำของคอมพิวเตอร์เสมอก่อนที่จะไปสแกนไฟล์ โฟลเดอร์หรือไดร์ฟต่างๆ เพราะเคยเจอมาแล้วว่าพอสแกนแฮนดี้ไดร์ฟของตัวเองเสร็จ ปรากฏว่ามันก็กลับมาติดไวรัสใหม่อีก คิดว่าน่าจะเป็นเพราะไวรัสมันยังทำงานอยู่ใน memory ของคอมพิวเตอร์ อันนี้อย่าเพิ่งสับสนนะครับว่ามันต่างกับหน่วยความจำในไดร์ฟ C,D ของคอมพิวเตอร์ยังไง คือคำสั่งนี้จะใช้สแกน memory ของคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น เช่น ไฟล์ของ Window พวก system 32 ที่กำลังถูกใช้งานอยู่ รวมทั้งโปรแกรมต่างๆที่เราเปิดอยู่ด้วย(ถ้าเทียบกับคน drive C,D ก็เหมือนกับความทรงจำที่เก็บเอาไว้เฉยๆ แต่ถ้ามีการเรียกมาใช้ก็เหมือนกับตอนที่เรากำลังคิดนั่นคิดนี่ เอามาประมวลผลกัน)
4. Scan Selected file for viruses ใช้สแกนไฟล์ โฟลเดอร์หรือไดร์ฟที่เลือก วิธีการเลือกก็เพียงแค่คลิกในกล่อง 4 เหลี่ยมข้างล่างที่มีหลายๆไดร์ฟให้เลือกนั่นละครับ ดับเบิ้ลคลิกเข้าไปเพื่อเลือกโฟลเดอร์หรือไฟล์ที่ต้องการแล้วกดที่คำสั่ง scan

หวังว่าคงเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่อยากทดลองใช้โปรแกรมกำจัดไวรัส Clamwin นะครับ ที่เหลือก็ลองศึกษากันดู ถ้ามีคำถามอะไรก็โพสต์ถามกันได้ครับ
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551
เล่นเกมการเมือง
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551
โปรแกรมกำจัดไวรัสพกพาได้ Clamwin Antivirus
นี่คือเว็บหลักอย่างเป็นทางการครับ
http://www.clamwin.com/
ถ้าหากต้องการ Clamwin ที่พกพาได้
ก็มีการอธิบายวิธีการทำที่นี่ http://www.clamwin.com/content/view/118/89/
หรือจะไปดาวน์โหลดได้ฟรีจาก http://portableapps.com/apps/utilities/clamwin_portable
โปรแกรม Clamwin นี้ตัวเล็กมากดาวน์โหลดมาตอนแรกแค่ 6 MB แต่ต้องดาวน์โหลดฐานข้อมูลไวรัสอีกซึ่งใช้เวลาไม่นาน เบ็ดเสร็จก็ใช้พื้นที่ประมาณ 25 MB ตอนนี้เป็นเวอร์ชั่น 0.94 แล้ว จากเท่าที่ใช้มาก็ถือว่ามีประสิทธิภาพดีพอใช้ได้ แต่ข้อเสียคือต้องขอบอกว่ามันเป็นโปรแกรมกำจัดไวรัส แต่ไม่ได้ป้องกันไวรัสนะครับ เพราะว่าโปรแกรมนี้จะไม่สแกนไวรัสแบบอัตโนมัติ คือพอไวรัสเข้ามาโจมตีแฮนดี้ไดรฟเรา โปรแกรมจะไม่ได้ป้องกัน ไม่ตรวจจับให้ เราต้องมาสั่งสแกนด้วยตัวเอง Clamwin ถึงจะตรวจเจอไวรัสได้ ซึ่งถึงแม้ว่า Clamwin อาจจะมีประสิทธิภาพไม่ดีเท่าโปรแกรมอื่นๆที่ติดตั้งลงคอมพิวเตอร์และสามารถตรวจจับไวรัสได้อัตโนมัติ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังชอบโปรแกรมนี้อยู่เพราะอย่างน้อยก็ยังพออุ่นใจได้ว่า ในบางสถานการณ์เราก็ยังมีอาวุธใช้สู้กับไวรัสได้บ้าง เหมือนมีทหารเอกคู่ใจพกพาใส่ไว้ในแฟลชไดรฟไปไหนต่อไหนได้สะดวก
Clamwin จะเน้นการกำจัดไวรัสและสปายแวร์ (Spyware) และเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ก็มีความสามารถในการตรวจเจอพวกมัลแวร์ (Malware) ได้มากขึ้นด้วย แต่ก็เป็นธรรมดาของทุกสรรพสิ่งในโลกที่ไม่สมบูรณ์เพียบพร้อมไปทุกอย่าง เช่นกันกับโปรแกรมกำจัดไวรัสที่ไม่มีโปรแกรมไหนจะสามารถตรวจเจอและกำจัดไวรัสได้ทุกชนิดในโลก ผมก็พบว่า Clamwin ไม่สามารถกำจัดไวรัสบางตัวได้อย่างเช่น Sality ดังนั้นการระวังป้องกันด้วยตัวเองจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด (ดีกว่าหวังพึ่งโปรแกรมอย่างเดียว เพราะถ้ามีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะติดไวรัสอยู่แล้ว ถึงเสียเงินซื้อโปรแกรมดีๆก็ป้องกันไวรัสได้ไม่หมด) เช่น ถ้าหากเห็นว่าคอมพิวเตอร์ที่ไหนไม่ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสก็ควรจะหลีกเลี่ยงการเสียบแฮนดี้ไดรฟโดยไม่จำเป็น และไม่ควรเข้าเว็บไซต์หรือดาวน์โหลดอะไรที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจอย่างเช่นเว็บโป๊ หนังโป๊เพราะอาจได้ไวรัสแถมมาด้วย จะว่าไปแฮนดี้ไดร์ฟก็ทำให้เราสำส่อนกับคอมพิวเตอร์กันมากขึ้นนะ และเดี๋ยวนี้ก็มีไวรัสที่ติดต่อกันทางแฮนดี้ไดรฟกันมากขึ้นด้วย การติดต่อแพร่ระบาดก็เลยง่ายกันไปใหญ่ แค่เอาไปเสียบกับเครื่องคอมแปลกหน้าก็ติดไวรัสซะแล้ว เลยไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมโรคเอดส์อื่นๆถึงเป็นปัญหาใหญ่ในยุคสมัยนี้ เพราะการสำส่อนทางเพศนั่นเอง แค่มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าก็มีโอกาสติดเชื้อมาแล้ว และกว่าจะแสดงอาการก็ใช้เวลานาน ยังไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อไปแล้ว ก็เอาไปติดคนอื่นได้อีกรวมทั้งเมียตัวเองด้วย ยังดีที่โรคพวกนี้พอจะป้องกันการติดต่อได้ด้วยการใส่ถุงยางอนามัย แต่เจ้าแฟลชไดร์ฟนี่สิ ไม่เห็นมีผู้ผลิตเจ้าไหนทำถุงยางออกมาขายมั่ง เลยติดกันไปทั่วมั่วไปหมด แต่ในวิกฤติก็ยังมีโอกาส คอมพิวเตอร์ติดไวรัสแล้วยังพอแก้ได้ ถึงแก้ไม่ได้ก็ล้างเครื่องลงโปรแกรมใหม่ เสียข้อมูลสำคัญไปบ้าง ไว้เป็นบทเรียนของการสำส่อนและไม่รู้จักป้องกันตัวเอง แต่ชีวิตคนถ้าได้ติดเชื้อเอดส์ไปแล้ว ถึงจะยังพอมีทางรักษาให้อายุยืนยาวขึ้นได้ แต่เชื้อยังคงอยู่ตราบจนวันตาย รอฉวยโอกาสโจมตีเมื่อร่างกายอ่อนแอ แถมมีเชื้อโรคอื่นมาติดแทรกซ้อนเข้าไปอีก มีแต่ทุกข์ทรมาน ดังนั้นก่อนจะไปจิ้มไปเสียบกับใครก็พึงระลึกไว้ว่ามันไม่เหมือนกับเอาแฟลชไดร์ฟไปเสียบคอมพิวเตอร์ ที่ถ้าเสียบคราวนี้ติดเอดส์มา ก็ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับมันไปจนตาย จะอยู่แบบทุกข์หรือสุขก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละคน แต่จะหาโอกาสแก้ตัวกำจัดเชื้อเอดส์ออกจากตัวคงทำได้ยาก (ไม่เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถึงจะติดไวรัสร้ายแรงขนาดไหน ก็ยังสามารถกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม)
สรุปข้อคิดประจำวันนี้ "คิดให้ดีก่อนเสียบ"
ไว้ตอนต่อไปจะเขียนเกี่ยวกับวิธีการใช้งานโปรแกรม Clamwin เท่าที่เคยมีประสบการณ์มานะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551
อหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร
มาดูกันถ้าผู้นำการชุมนุม ยึดมั่นในหลักอหิงสาแบบท่านมหาตมะ คานธี นักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดีย ควรจะเป็นยังไง
... รักเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม
... ไม่ใช้ความรุนแรงทั้งทางกาย และวาจา การด่าฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจเขา จะยิ่งยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงมาตอบโต้กันมากขึ้น
... ถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี หรือเจ้าที่รัฐมาปราบปราม จะไม่ตอบโต้ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่หลบ ไม่เอาอะไรป้องกันทั้งสิ้น เพราะจะยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามนึกว่าเราจะตอบโต้กลับ จะยิ่งทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นในจิตใจ และเขาจะยิ่งทำร้ายฝ่ายเราหนักมากขึ้น วิธีการอหิงสาก็คือ ยอมให้ทุบตี ทำร้ายตามใจชอบ ไม่ตอบโต้และระวังอย่าให้คนที่มาตีเราได้รับบาดเจ็บด้วย (ถ้าสงสัย ให้ดูข้อแรก) ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่มาทำรุนแรงกับเรา จะค่อยๆสงบลงเอง เพราะเขาจะสำนึกได้ถึงมนุษยธรรมและความรักที่มนุษย์พึงมีให้กัน ลองคิดดูสิ มีคนไหนบ้าง (ถ้าไม่ได้เลวมาแต่กำเนิด) ที่จะทำร้ายคนอื่นได้ตลอดถ้าผู้ถูกทำร้ายไม่ตอบโต้เลย ความรุนแรงของการจลาจลมันเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ใช้ความรุนแรงเข้าหากัน มันตีมา 1 ที เราก็ตีกลับไป 2 ที ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันก็จะยิ่งรุนแรงหนักขึ้นไปอีก และสุดท้ายก็จะยุติลงด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งหยุดตอบโต้ (เพราะสลบคาตีน หรือเสียชีวิตไปเรียบร้อย)
มีตัวอย่างสมัยก่อน ที่ผู้ชุมนุมชาวอินเดีย ถูกตำรวจเข้าปราบปราม ถูกทุบตีจนล้มลง แต่เขาก็ลุกขึ้นมาใหม่โดยไม่ตอบโต้ตำรวจเลย ก็ถูกตีไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมตอบโต้ สุดท้ายตำรวจเกิดความละอายใจ หยุดการทำร้ายประชาชน
... อารยะขัดขืน สามารถทำได้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักการอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าตัวบทกฎหมาย (เช่นคุณธรรมและประชาธิปไตย) ถึงกับต้องฝ่าฝืนกฎหมายเลยทีเดียว แต่ ย้ำว่าแต่ ต้องยอมรับความผิดตามกฏหมายแต่โดยดีด้วย ไม่ใช่ว่าอารยะขัดขืนแล้วหนี, ดื้อแพ่งไม่สนใจกฎ หรือให้คนมาล้อมเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อไม่ให้ตำรวจมาจับ
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะต่อสู้แบบอหิงสาได้ ต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นเกรงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจถึงกับทำให้ได้ไปเสวยผลบุญแบบทันตาเห็น ซึ่งก็คือผลบุญจากการรักและหวังดีกับเพื่อนมนุษย์โดยช่วยให้ฝ่ายที่มาทำร้าย ได้ตาสว่างและหยุดใช้ความรุนแรงนั่นเอง ซึ่งที่จริงแล้วการใช้ความรุนแรงนี่กลับเป็นวิธีการของคนขี้ขลาดตาขาว ไม่ได้กล้าหาญน่าชื่นชมอะไรเลย เพราะเกิดความกลัว กลัวตัวเองจะเจ็บ กลัวจะพ่ายแพ้ กลัวเสียหน้า กลัวตาย จึงต้องใช้ความรุนแรงทำกับคนอื่นก่อน
ดังนั้นการต่อสู้กู้ชาติของพันธมิตร ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คงจะเป็นอหิงสาคนละเวอร์ชั่นกับของท่านมหาตมะ คานธี เป็นอหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร แบบว่าอหิงสาเป็นบางสภาวะอ่ะนะ สามารถใช้ความรุนแรงได้ตามความจำเป็น และใช้ความรุนแรงได้ระดับพอหอมปากหอมคอ เช่น การด่าโจมตีฝ่ายรัฐบาล แถมบางทีก็ลามปามไปถึงบรรดานักวิชาการและคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีพันธมิตร (ซึ่งผมว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเอาซะเลย ใครพูดอะไรที่เข้าข้างพันธมิตรก็ชื่นชม แต่พอมีใครไม่เห็นด้วย ก็ด่ากราดสาดเสียเทเสีย เหมือนไม่ใช่ปัญญาชนคนมีความรู้มาพูด ที่จริงประชาธิปไตยควรจะยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างอ่ะนะ ไม่ใช่ว่าความคิดของตัวเองจะถูกต้อง 100% อยู่ผู้เดียว) นอกจากการใช้ความรุนแรงทางวาจาแล้ว บางทีก็อาจมีการออกไปขยับแข้งขยับขากันบ้าง อย่างเช่น ยุทธการดาวกระจาย ไปปิดล้อมสถานที่ราชการ ยึดสถานี NBT เหตุการณ์การยึดทำเนียบรัฐบาล และวันที่ 2 ก.ย. ที่มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ 1 ราย ซึ่งยังหาตัวผู้ร้ายไม่เจอ และฝ่ายพันธมิตรก็พยายามไม่พูดถึงเลยว่าฝ่ายพันธมิตรนั่นแหละที่ทุบตีอีกฝ่ายถึงตาย หรือคนตีอาจจะเป็นมือที่ 3 ที่มาก่อกวนสวมรอยเป็นพันธมิตรก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งมันยากมากเลยนะการตีคนให้ตายเนี่ยเมื่อเทียบกับการใช้ปืนยิง แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังคงยกประเด็นขึ้นมาโหมกระหน่ำโจมตีรัฐบาลว่า ม็อบ นปช.ที่ยกมาคืนนั้น เป็นม็อบจัดตั้งโดยคนใน ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่เท่าที่ดูหนังสือพิมพ์ ก็พอจะมีมูลอยู่บ้าง แถมตำรวจที่ตั้งด่านในคืนนั้นตั้ง 3 จุด ก็ยังปล่อยให้ม็อบพวกนี้เคลื่อนที่มาใกล้พันธมิตรได้อย่างง่ายดาย ดูรูปแล้วแทบไม่อยากเชื่อ ตำรวจยืนเรียงแถวปล่อยให้ นปช. เดินผ่านง่ายๆ เลย ถ้าเป็นการจัดตั้งขึ้นมาจริงๆ คนที่คิดแผนเอาม็อบชนม็อบเพื่อฉวยโอกาสให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้นี่ ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คิดแผนที่ผิดมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้ โดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนเดินดิน แต่อย่างว่าล่ะนะถึงจะเป็นม็อบจัดตั้งยกมาหาเรื่อง ถ้ายึดมั่นในหลักอหิงสาจริง ไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ เหตุการณ์ก็คงไม่ลุกลามบานปลายจนมีคนเสียชีวิตหรอก (แต่คิดในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายอหิงสาก็อาจจะได้พลีชีพซะเองก็ได้ ก็อย่างที่บอกไปล่ะ ว่าถ้าอยากสู้ด้วยวิถีอหิงสาจริง ก็ต้องกล้ายอมสละชีวิตอยู่แล้ว)
ว่าแต่การยึดหลักอหิงสาแล้วต้องมาพลีชีพนี่มันดียังไง เดี๋ยวคนไทยจะหาว่ามายึดหลักการอะไรโง่ๆ ยอมให้คนอื่นทำร้ายโดยง่าย ไม่สมศักดิ์ศรีพี่ไทยเลย ที่จริงเป็นวิธีการที่ลึกซึ้งเฉียบคมมาก เพราะการที่มีภาพออกไปว่าฝ่ายโจมตีใช้ความรุนแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรเลยเนี่ย จะยิ่งเพิ่มความชอบธรรมและปลุกระดมมวลชนให้มาเข้าร่วมกันมากขึ้นได้อย่างดีเลย คนทั่วๆไปก็จะเกิดความเห็นใจและสนับสนุนฝ่ายอหิงสาเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ แต่การชูธงบอกว่าเป็นกองทัพธรรมและยึดหลักอหิงสาของพันธมิตรนั้น มันช่วยดึงมวลชนไม่ได้มากหรอกนะ (ถึงจะมีคนไปร่วมเป็นพันเป็นหมื่นก็เถอะ แต่ยังมีคนอีกเป็นแสนเป็นล้านที่ไม่ขอเข้าร่วมฝ่ายไหน ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยชอบพวกที่หลงชื่นชมตัวเองว่าดีเลิศกว่าใครอื่นเกินความเป็นจริง) ดังนั้นก็น่าจะเปลี่ยนสโลแกนไปเน้นว่าเป็นยามเฝ้าแผ่นดินหรือหมาเฝ้าบ้านก็น่าจะเหมาะสมกว่ากับแนวทางการต่อสู้ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เพราะถึงแม้เป้าหมายจะเป็น "ธรรม" แต่วิธีการที่ใช้นั้นมันก็มีทั้ง "ธรรม" และ "ไม่ธรรม" อ่ะนะ ปนเปกันไปเป็นสีเทาๆ คือเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่บ้าง แต่ก็มีความรักชาติ สำนึกบุญคุณแผ่นดินมากกว่านักการเมืองบางคน อย่างนี้ค่อยยอมรับได้หน่อย แล้วอย่างที่บอกผู้ปราศรัยบางท่านก็เอาแต่ปลุกขวัญกำลังใจผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตร มีคนเด่นคนดังคนดีท่านไหนพูดอะไรตรงใจพันธมิตร ก็ยกมาชื่นชมเสียยกใหญ่ แต่ถ้ามีใครไม่เห็นด้วยอะไรล่ะก็ ก็จะด่าเสียหายไปเลย ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงก็ควรยอมรับฟังและยกเอาเหตุผลมาพูดกันดีกว่า อย่ามัวแต่ห่วงว่าผู้ร่วมชุมนุมจะเอาใจออกห่าง เพราะไปฟังความคิดเห็นอื่นแล้วทำให้จิตใจไขว้เขวแล้วจะไม่มาชุมนุมอีก ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของทุกๆคนอยู่แล้วที่จะรับฟังข้อมูลจากหลายๆฝ่าย แล้วมาตรึกตรองกันเอาเอง ไม่ต้องให้ใครมาชี้นำ
เชื่อว่าถ้าพันธมิตรปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ใหม่ คงทำให้มีมวลชนอยากเข้าร่วมกันมากขึ้น เพราะคนที่เป็นกลางในตอนนี้เค้าก็คงจะเบื่อระอากับลมปากการยึดหลักอหิงสา (เวอร์ชั่นพันธมิตร) กันแล้ว แต่ก็เบื่อ (อาจถึงขั้นเกลียด) ใครบางคน ที่ตอนนี้พันธมิตรกำลังยืนด่าขับไล่อยู่ก็เป็นได้