วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

เล่นเกมการเมือง

เคยได้ยินเป็นประจำตั้งแต่สมัยเด็กๆ ที่บอกว่า "คนนั้นจะเล่นการเมือง" หรือ "มันเป็นเกมการเมืองที่อาจจะมีการขัดแข้งขัดขาแย่งชิงอำนาจกันบ้าง" คนไทยเราใช้คำนี้กันมาตั้งแต่เมื่อไรและมีที่มาอย่างไร ผมก็ไม่ทราบ อาจจะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล การเมืองไทยทุกวันนี้ถึงได้ล้าหลังกันเหลือเกิน ในเมื่อมันเป็นเกม หรือเป็นอะไรที่เล่นได้ ก็ชวนให้นึกถึงการละเล่นอย่างอื่น อย่างเล่นหวย เล่นหุ้น เล่นไพ่ เล่นการพนันที่ต้องมีการลงทุน เล่นเพื่อความสนุกสนาน ระทึกใจ และเป้าหมายสุดท้ายคือกอบโกยกำไร แสวงหาผลประโยชน์เพื่อความมั่งคั่งของตัวเองและพวกพ้อง นักการเมืองไทยก็คงได้รับอิทธิพลมาจากการละเล่นเหล่านี้ เอามาใช้กับการเล่นการเมืองด้วย มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็นกลุ่ม ก๊ก มุ้ง ต่อรองกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ เวลาจะจัดตั้งรัฐบาล จะเห็นแต่ละพรรคขอโควต้ารัฐมนตรี รองรัฐมนตรี กันเท่านั้นเท่านี้มั่วซั่วกันไปหมด พอได้ตำแหน่งมาก็เอามาแบ่งกันให้แต่ละมุ้งแต่ละก๊กกันสนุกสนาน (หรือหน้าดำคร่ำเครียดก็ไม่ทราบ เพราะแต่ละคนก็อยากได้อำนาจกันทั้งนั้น) แล้วตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงยังมีคุณค่าไม่เท่ากัน มีแบ่งเป็นกระทรวงใหญ่กระทรวงน้อย นัยยะก็คือกระทรวงใหญ่เป็นกระทรวงที่สามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้มากนั่นเอง อย่างกระทรวงคมนาคม ที่มีงบประมาณสร้างถนน สนามบินอะไรพวกนั้น เลยมีคำพูดที่เค้าบอกว่านักการเมืองชอบกินหินกินปูนกินทราย กินมากไปก็กลายเป็นกินปูนร้อนท้องซะนั่น จริงๆแล้วการเมืองไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่มันคือปากท้องความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ การจัดสรรคนมาเป็นรัฐมนตรีแต่ละตำแหน่งก็ควรจะเลือกเอาคนที่มีความสามารถเหมาะสมกับงานมากกว่า แต่นี่ก็ลงหนังสือพิมพ์กันหน้าตาเฉยทุกยุคทุกสมัย เหมือนเป็นเรื่องที่แสนธรรมดา อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน ถ้าเรายังเห็นว่าการที่นักการเมืองกำลัง"เล่น"การเมืองอยู่อย่างนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา คนรุ่นต่อไปก็เอาตามเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเมื่อไรเมืองไทยจะพัฒนา ที่จริงแล้วเมืองไทยเราได้ประชาธิปไตยมาแบบรวบรัด คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงหลักการประชาธิปไตยชัดเจน ก็มีคณะราษฏร์มาเปลี่ยนแปลงการปกครองซะแล้ว เหมือนผลไม้ที่ยังไม่สุกก็โดนเด็ดมากิน รสชาติมันก็ไม่หอมหวานเท่าผลไม้ที่สุกเต็มที่ กลายเป็นประชาธิปไตยที่มาจากการปฏิวัติโดยพวกชนชั้นขุนนางแค่กลุ่มหนึ่ง (ไม่ได้มาจากความต้องการของคนทั้งประเทศ) ทุกวันนี้ประชาธิปไตยเลยกลายเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของพวกผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ที่ใช้อิทธิพลซื้อเสียงหาเสียงเพื่อเข้าไปนั่งในสภา ครองเก้าอี้รัฐมนตรีที่ใฝ่ฝัน มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่มาจากการเรียกร้องโดยประชาชนทั้งประเทศ คนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดสำนึกของประชาธิปไตยที่แท้จริง การเมืองไทยวันนี้เลยพิกลพิการอย่างที่เห็น ต้องยอมรับว่าการเมืองใหม่ที่พันธมิตรยกมาปราศรัยในที่ชุมนุม ดูเข้าท่าที่สุดแล้วนับตั้งแต่มีการชุมนุมมา (เข้าท่ากว่าการบอกว่าตนเองยึดหลักสันติอหิงสา เป็นเทพบุตรเทพธิดา แต่ก็ยังร้องเพลงให้กระทืบคนในรัฐบาลและในระบอบทักษิณ) ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่าการเมืองใหม่นี้จะมีรูปโฉมเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ฟังๆมาก็รู้สึกชอบนะ เคยฟังมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนที่คุณสนธิมาพูด ก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นความหวังของสังคมไทยได้ อันนี้ก็คอยดูและใช้วิจารณญาณศึกษาการเมืองใหม่ที่กำลังจะออกมานะครับ แต่ผมว่าที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาการเมืองไทยคือควรจะประชาสัมพันธ์ ให้การศึกษาเรื่องประชาธิปไตยกับคนไทยทั้งประเทศให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดจิตสำนึกขึ้นในตัว ไม่ใช่ว่าแค่ให้เด็กนักเรียนตั้งพรรคการเมืองในโรงเรียน หาเสียงแถลงนโยบาย และมีการเลือกตั้งเลือกประธานนักเรียนกันแค่นั้นจบ แบบนั้นมันตื้นเกินไป

ไม่มีความคิดเห็น: