วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

อหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร

ในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ขึ้นจนได้ กับอหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร ตอนแรกก็ยังพอรับได้อยู่นะ กับการไปด่าผู้นำและผองพวก (ที่สมควรจะสำนึกตนได้แล้ว) หรือหนักขึ้นก็ขัดขวางปิดล้อม สร้างความลำบาก ไม่สะดวกกายสบายใจแก่ผู้ผ่านไปผ่านมา หนักขึ้นไปอีกก็ไปพังประตูรั้วสถานที่ราชการ (เสียดายประตูอ่ะ แพงนะนั่น) และไปบุกยึดสถานที่ราชการกับ NBT สุดท้าย เมื่อ 2 ก.ย. ก็เกิดเหตุสลดใจ เมื่อนปช. มาปะทะกับพันธมิตร มีผู้เสียชีวิต 1 ราย กับบาดเจ็บอีกมากมาย เคยสงสัยกันมั้ยว่า นี่หรือคืออหิงสา หรือจะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ไฉไลกว่าเก่า (รึเปล่า) ปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย (ที่บอกว่าไทยนี้รักสงบ แต่ก็รบไม่ขาด) ซึ่งอาจมีผิวหนังบริเวณหน้า หนาเป็นพิเศษยิ่งกว่าชนชาติอินเดียหรืออังกฤษ กลายมาเป็น "อหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร" ไป

มาดูกันถ้าผู้นำการชุมนุม ยึดมั่นในหลักอหิงสาแบบท่านมหาตมะ คานธี นักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดีย ควรจะเป็นยังไง

... รักเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ฝ่ายตรงข้าม

... ไม่ใช้ความรุนแรงทั้งทางกาย และวาจา การด่าฝ่ายตรงข้ามก็เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจเขา จะยิ่งยั่วยุให้มีการใช้ความรุนแรงมาตอบโต้กันมากขึ้น

... ถ้าถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี หรือเจ้าที่รัฐมาปราบปราม จะไม่ตอบโต้ ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่หลบ ไม่เอาอะไรป้องกันทั้งสิ้น เพราะจะยิ่งทำให้ฝ่ายตรงข้ามนึกว่าเราจะตอบโต้กลับ จะยิ่งทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นในจิตใจ และเขาจะยิ่งทำร้ายฝ่ายเราหนักมากขึ้น วิธีการอหิงสาก็คือ ยอมให้ทุบตี ทำร้ายตามใจชอบ ไม่ตอบโต้และระวังอย่าให้คนที่มาตีเราได้รับบาดเจ็บด้วย (ถ้าสงสัย ให้ดูข้อแรก) ซึ่งสุดท้ายแล้วคนที่มาทำรุนแรงกับเรา จะค่อยๆสงบลงเอง เพราะเขาจะสำนึกได้ถึงมนุษยธรรมและความรักที่มนุษย์พึงมีให้กัน ลองคิดดูสิ มีคนไหนบ้าง (ถ้าไม่ได้เลวมาแต่กำเนิด) ที่จะทำร้ายคนอื่นได้ตลอดถ้าผู้ถูกทำร้ายไม่ตอบโต้เลย ความรุนแรงของการจลาจลมันเกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้ ใช้ความรุนแรงเข้าหากัน มันตีมา 1 ที เราก็ตีกลับไป 2 ที ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันก็จะยิ่งรุนแรงหนักขึ้นไปอีก และสุดท้ายก็จะยุติลงด้วยการที่ฝ่ายหนึ่งหยุดตอบโต้ (เพราะสลบคาตีน หรือเสียชีวิตไปเรียบร้อย)

มีตัวอย่างสมัยก่อน ที่ผู้ชุมนุมชาวอินเดีย ถูกตำรวจเข้าปราบปราม ถูกทุบตีจนล้มลง แต่เขาก็ลุกขึ้นมาใหม่โดยไม่ตอบโต้ตำรวจเลย ก็ถูกตีไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยอมตอบโต้ สุดท้ายตำรวจเกิดความละอายใจ หยุดการทำร้ายประชาชน

... อารยะขัดขืน สามารถทำได้ เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราจำเป็นต้องปฏิบัติตามหลักการอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าตัวบทกฎหมาย (เช่นคุณธรรมและประชาธิปไตย) ถึงกับต้องฝ่าฝืนกฎหมายเลยทีเดียว แต่ ย้ำว่าแต่ ต้องยอมรับความผิดตามกฏหมายแต่โดยดีด้วย ไม่ใช่ว่าอารยะขัดขืนแล้วหนี, ดื้อแพ่งไม่สนใจกฎ หรือให้คนมาล้อมเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อไม่ให้ตำรวจมาจับ

เพราะฉะนั้นผู้ที่จะต่อสู้แบบอหิงสาได้ ต้องมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง ไม่หวั่นเกรงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งอาจถึงกับทำให้ได้ไปเสวยผลบุญแบบทันตาเห็น ซึ่งก็คือผลบุญจากการรักและหวังดีกับเพื่อนมนุษย์โดยช่วยให้ฝ่ายที่มาทำร้าย ได้ตาสว่างและหยุดใช้ความรุนแรงนั่นเอง ซึ่งที่จริงแล้วการใช้ความรุนแรงนี่กลับเป็นวิธีการของคนขี้ขลาดตาขาว ไม่ได้กล้าหาญน่าชื่นชมอะไรเลย เพราะเกิดความกลัว กลัวตัวเองจะเจ็บ กลัวจะพ่ายแพ้ กลัวเสียหน้า กลัวตาย จึงต้องใช้ความรุนแรงทำกับคนอื่นก่อน

ดังนั้นการต่อสู้กู้ชาติของพันธมิตร ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ก็คงจะเป็นอหิงสาคนละเวอร์ชั่นกับของท่านมหาตมะ คานธี เป็นอหิงสาเวอร์ชั่นพันธมิตร แบบว่าอหิงสาเป็นบางสภาวะอ่ะนะ สามารถใช้ความรุนแรงได้ตามความจำเป็น และใช้ความรุนแรงได้ระดับพอหอมปากหอมคอ เช่น การด่าโจมตีฝ่ายรัฐบาล แถมบางทีก็ลามปามไปถึงบรรดานักวิชาการและคนที่ไม่เห็นด้วยกับวิถีพันธมิตร (ซึ่งผมว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเอาซะเลย ใครพูดอะไรที่เข้าข้างพันธมิตรก็ชื่นชม แต่พอมีใครไม่เห็นด้วย ก็ด่ากราดสาดเสียเทเสีย เหมือนไม่ใช่ปัญญาชนคนมีความรู้มาพูด ที่จริงประชาธิปไตยควรจะยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างอ่ะนะ ไม่ใช่ว่าความคิดของตัวเองจะถูกต้อง 100% อยู่ผู้เดียว) นอกจากการใช้ความรุนแรงทางวาจาแล้ว บางทีก็อาจมีการออกไปขยับแข้งขยับขากันบ้าง อย่างเช่น ยุทธการดาวกระจาย ไปปิดล้อมสถานที่ราชการ ยึดสถานี NBT เหตุการณ์การยึดทำเนียบรัฐบาล และวันที่ 2 ก.ย. ที่มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะ 1 ราย ซึ่งยังหาตัวผู้ร้ายไม่เจอ และฝ่ายพันธมิตรก็พยายามไม่พูดถึงเลยว่าฝ่ายพันธมิตรนั่นแหละที่ทุบตีอีกฝ่ายถึงตาย หรือคนตีอาจจะเป็นมือที่ 3 ที่มาก่อกวนสวมรอยเป็นพันธมิตรก็ไม่อาจทราบได้ ซึ่งมันยากมากเลยนะการตีคนให้ตายเนี่ยเมื่อเทียบกับการใช้ปืนยิง แต่ฝ่ายพันธมิตรก็ยังคงยกประเด็นขึ้นมาโหมกระหน่ำโจมตีรัฐบาลว่า ม็อบ นปช.ที่ยกมาคืนนั้น เป็นม็อบจัดตั้งโดยคนใน ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่เท่าที่ดูหนังสือพิมพ์ ก็พอจะมีมูลอยู่บ้าง แถมตำรวจที่ตั้งด่านในคืนนั้นตั้ง 3 จุด ก็ยังปล่อยให้ม็อบพวกนี้เคลื่อนที่มาใกล้พันธมิตรได้อย่างง่ายดาย ดูรูปแล้วแทบไม่อยากเชื่อ ตำรวจยืนเรียงแถวปล่อยให้ นปช. เดินผ่านง่ายๆ เลย ถ้าเป็นการจัดตั้งขึ้นมาจริงๆ คนที่คิดแผนเอาม็อบชนม็อบเพื่อฉวยโอกาสให้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้นี่ ก็ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คิดแผนที่ผิดมนุษยธรรมอย่างร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้ โดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนเดินดิน แต่อย่างว่าล่ะนะถึงจะเป็นม็อบจัดตั้งยกมาหาเรื่อง ถ้ายึดมั่นในหลักอหิงสาจริง ไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้ เหตุการณ์ก็คงไม่ลุกลามบานปลายจนมีคนเสียชีวิตหรอก (แต่คิดในอีกแง่หนึ่ง ฝ่ายอหิงสาก็อาจจะได้พลีชีพซะเองก็ได้ ก็อย่างที่บอกไปล่ะ ว่าถ้าอยากสู้ด้วยวิถีอหิงสาจริง ก็ต้องกล้ายอมสละชีวิตอยู่แล้ว)

ว่าแต่การยึดหลักอหิงสาแล้วต้องมาพลีชีพนี่มันดียังไง เดี๋ยวคนไทยจะหาว่ามายึดหลักการอะไรโง่ๆ ยอมให้คนอื่นทำร้ายโดยง่าย ไม่สมศักดิ์ศรีพี่ไทยเลย ที่จริงเป็นวิธีการที่ลึกซึ้งเฉียบคมมาก เพราะการที่มีภาพออกไปว่าฝ่ายโจมตีใช้ความรุนแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ตอบโต้อะไรเลยเนี่ย จะยิ่งเพิ่มความชอบธรรมและปลุกระดมมวลชนให้มาเข้าร่วมกันมากขึ้นได้อย่างดีเลย คนทั่วๆไปก็จะเกิดความเห็นใจและสนับสนุนฝ่ายอหิงสาเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ แต่การชูธงบอกว่าเป็นกองทัพธรรมและยึดหลักอหิงสาของพันธมิตรนั้น มันช่วยดึงมวลชนไม่ได้มากหรอกนะ (ถึงจะมีคนไปร่วมเป็นพันเป็นหมื่นก็เถอะ แต่ยังมีคนอีกเป็นแสนเป็นล้านที่ไม่ขอเข้าร่วมฝ่ายไหน ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยชอบพวกที่หลงชื่นชมตัวเองว่าดีเลิศกว่าใครอื่นเกินความเป็นจริง) ดังนั้นก็น่าจะเปลี่ยนสโลแกนไปเน้นว่าเป็นยามเฝ้าแผ่นดินหรือหมาเฝ้าบ้านก็น่าจะเหมาะสมกว่ากับแนวทางการต่อสู้ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ เพราะถึงแม้เป้าหมายจะเป็น "ธรรม" แต่วิธีการที่ใช้นั้นมันก็มีทั้ง "ธรรม" และ "ไม่ธรรม" อ่ะนะ ปนเปกันไปเป็นสีเทาๆ คือเป็นปุถุชนคนธรรมดา ที่ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่บ้าง แต่ก็มีความรักชาติ สำนึกบุญคุณแผ่นดินมากกว่านักการเมืองบางคน อย่างนี้ค่อยยอมรับได้หน่อย แล้วอย่างที่บอกผู้ปราศรัยบางท่านก็เอาแต่ปลุกขวัญกำลังใจผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตร มีคนเด่นคนดังคนดีท่านไหนพูดอะไรตรงใจพันธมิตร ก็ยกมาชื่นชมเสียยกใหญ่ แต่ถ้ามีใครไม่เห็นด้วยอะไรล่ะก็ ก็จะด่าเสียหายไปเลย ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงก็ควรยอมรับฟังและยกเอาเหตุผลมาพูดกันดีกว่า อย่ามัวแต่ห่วงว่าผู้ร่วมชุมนุมจะเอาใจออกห่าง เพราะไปฟังความคิดเห็นอื่นแล้วทำให้จิตใจไขว้เขวแล้วจะไม่มาชุมนุมอีก ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของทุกๆคนอยู่แล้วที่จะรับฟังข้อมูลจากหลายๆฝ่าย แล้วมาตรึกตรองกันเอาเอง ไม่ต้องให้ใครมาชี้นำ

เชื่อว่าถ้าพันธมิตรปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้ใหม่ คงทำให้มีมวลชนอยากเข้าร่วมกันมากขึ้น เพราะคนที่เป็นกลางในตอนนี้เค้าก็คงจะเบื่อระอากับลมปากการยึดหลักอหิงสา (เวอร์ชั่นพันธมิตร) กันแล้ว แต่ก็เบื่อ (อาจถึงขั้นเกลียด) ใครบางคน ที่ตอนนี้พันธมิตรกำลังยืนด่าขับไล่อยู่ก็เป็นได้

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะ สำหรับบทความดี ๆ